วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรักกับความผูกพันธ์

มีหลายคนที่สับสนกับคำสองคำนี้ความรัก กับ ความผูกพันธ์ มันคืออะไรนะ ต่างกันอย่างไร ความรัก กับ ความผูกพันธ์ เหมือนกันมั้ยนะถ้าไม่มีความผูกพันธ์ก็เกิดความรักได้นี่นาแต่ถ้าเกิดความรักแล้วไม่มีความผูกพันธ์ล่ะจะเป็นไปได้รึเปล่านะ

สำหรับเรา ความรักกับความผูกพันธ์ไม่เหมือนกัน มันแตกต่างกัน ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกที่ ทุกเวลาไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน กับใครก็ตามบางครั้งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่สามารถตอบได้ความรักคือการให้ การทุ่มเท การให้ความรู้สึกดีๆให้สิ่งที่เกินพอสำหรับใครซักคนที่เรารักการทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุขจนเหมือนกับว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น(ซึ่งจริงๆ แล้วก็ใช่)ความรักจึงเป็นการทำเพื่อคนๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหนสำหรับคนที่เรารัก ความคิดถึง ความเป็นห่วงจะเกิดขึ้นตลอดเวลาเราจะห่วงว่าเขาไปที่ไหน ไปกับใครความรัก เกิดขึ้นได้แม้เพียงพบกันแค่นาทีแค่เห็นหน้าเพียงครั้งแรก ครั้งเดียวความรักไม่จำเป็นต้องใช้เวลาแต่การจะทำให้ความรักคงอยู่ หรือเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และนำความผูกพันธ์ใส่ลงไปเพราะความผูกพันธ์เป็นสิ่งที่ทำให้คนสองคนได้รู้จักกันมากขึ้น

เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนสองคนปรับตัวเข้าหากันความรักจะคงอยู่ได้ หากความผูกพันธ์เกิดขึ้น

ความผูกพันธ์นั้นต่างกับความรักเพราะการผูกพันธ์กับใครซักคน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องรักสำหรับ ความผูกพันธ์ มันคือความรู้สึกคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น การที่เราคิดถึงคนๆ หนึ่งเวลาที่เราจากกัน เวลาที่ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุย นั่นไม่ใช่ความรักเราไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อเค้าเราไม่ได้ต้องการให้สิ่งใดกับเค้าไม่ได้ห่วงว่าเขาจะไปกับใคร เมื่อไหร่ หรือที่ไหนแต่เราเพียงแค่คิดถึง ความทรงจำที่ดี เวลาที่เคยอยู่ด้วยกันดังนั้น ความผูกพันธ์จึงเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการใช้เวลา

มันเป็นความทรงจำ เป็นความรู้สึก และไม่ใช่ความรักเพราะเกิดได้กับทุกคน กับเพื่อน พี่ น้องหรืออาจเป็นใครก็ตามที่ครั้งหนึ่ง เคยใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความคิดถึงและเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดความรักนั่นเองทั้งความรักและความผูกพันธ์ เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ร่วมกันถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างกันก็ตาม สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราจะแยกมันออกจากกันได้หรือเปล่าเท่านั้นเองว่าอันไหนคือความรักอันไหนคือความผูกพันธ์เพราะจริงๆ แล้วมันแทบจะไม่ต่างกันเลยเพราะทั้ง 2 สิ่งควรจะมีอยู่คู่กัน

ปัญหาของความรักกับความผูกพันธ์อยู่ตรงที่บางคนไม่สามารถแยกได้ว่า ความรัก กับ ความผูกพันธ์ ต่างกันตรงไหนความสับสน ความลังเล จะเกิดขึ้นถ้าหากวันนึง คุณรักใครซักคน และมีความผูกพันธ์กับใครอีกคนคุณจะตอบตัวเองได้หรือเปล่าว่าคุณจะเลือกใคร หากคุณคิดว่าคนที่คุณผูกพันธ์คือคนที่คุณไม่สามารถลืมเค้าได้และคนที่คุณรัก คุณก็ไม่สามารถเลิกรักเค้าได้เช่นกันจำไว้ว่า…จงเลือกคนที่หัวใจของคุณต้องการ อย่าใช้คำว่าถูกหรือผิดเพราะมันใช้กับความรักไม่ได้แต่จงใช้หัวใจของคุณเองหากคุณต้องการค้นหาใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดชีวิต

บทความดีๆจาก โพสต์สไมล์

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

นิทานความรัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องเล่าระหว่างสาวสวยและหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งรักกันอย่างดูดดื่ม...ทั้งสองได้สาบานว่าแม้ความตายก็มิอาจจะพรากรักอันแสนจะมั่นคงนี้ลงได้และในครั้งนั้นยังมีแม่มดตนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอนเท่าความไม่แน่นอนแม่มดไม่เชื่อว่าความรักของทั้งสองจะมั่นคงจึงคิดหาทางพิสูจน์ขึ้นมา นางกล่าวว่าหากพวกเจ้ามั่นใจในรักของอีกฝ่าย ซึ่งยั่งยืนแม้ว่าความตายจะพรากดังนั้นข้าก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร...ข้าขอสาปให้นับแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ บุรุษนี้จะไม่มีทางจำเจ้าได้เขาจะไม่สามารถจำได้ว่าเคยรักเจ้า และตรงกันข้ามกับเจ้าเจ้าจะเป็นคนที่จำทุกอย่างได้ เพราะเจ้าจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไปไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่มีวันตาย จะอยู่อย่างนี้นิรันดร์...เจ้าจะจำเวลาที่เคยรักเขาเคยเป็นที่รักและต้องเฝ้ารอการกลับมาของเขาในชาติแล้วชาติเล่าตลอดกาล...

"วันใดก็ตามที่เจ้าทำให้เขารู้ตัวว่ารักเจ้าทำให้เขาจำเจ้าได้วันนั้น...คือวันที่ความเป็นนิรันดร์ของเจ้าสิ้นสุดลง...เจ้าจะแก่และตายตามสภาพของอายุขัยที่ควรเป็น...และคราวนี้ก็จะเป็นทีของเจ้าหนุ่มนั่นแทน...เขาจะต้องเป็นคนที่ค้นหาเจ้าบ้าง..."หลังจากนั้นมาปีแล้วปีเล่าเวลาผ่านไปศตวรรษทบศตวรรษที่หญิงสาวเฝ้าตามหาชายหนุ่มคนรัก

และทุกครั้งที่เธอได้พบเขาในสภาพของใครคนหนึ่งที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย...เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจำเธอได้

แต่มันไม่เคยสำเร็จชาติแล้วชาติเล่า...หลังจากการเกิดและดับของเขาผ่านไปนับสิบครั้งเขาก็ยังไม่อาจระลึกได้ถึงความรักของเธอ...ความทุกข์ทรมานของหญิงสาวถูกเฝ้าดูอย่างเย้ยเยาะโดยนางแม่มดผู้รอคอยเวลาที่หญิงสาวจะยอมรับว่า...รักแท้ที่แม้ความตายก็ไม่อาจพรากไม่มีจริง แล้วนางแม่มดก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าในช่วงหลังๆ มาหญิงสาวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ชายหนุ่มระลึกถึงตนไม่พยายามให้ชายหนุ่มรักตนแต่กลับทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้เขามีความสุข

และทำให้เขาเกิดรอยยิ้มแทน...แล้ววันหนึ่งนางแม่มดก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจึงปรากฏตัวเพื่อเอ่ยถามกับตัวหญิงสาวเอง...

"...เจ้าได้ละทิ้งความพยายามของเจ้าเสียแล้วล่ะหรือ...ความพยายามที่จะพิสูจน์ให้ข้าเห็นอำนาจและพลังของรักแท้ที่เหนือกว่าอำนาจใดๆ แม้กระทั่งคำสาปของข้า..."

"จริงๆ แล้ว ข้าก็มีเหตุผลของข้า"หญิงสาวตอบนางแม่มดกลับไป

"...ข้าไม่ได้ละทิ้งความพยายาม...เพียงแต่...ข้ากลัวว่าความพยายามของข้าจะสัมฤทธิ์ผล...แล้ว"
"แล้วเจ้าก็ต้องแก่และตาย"นางแม่มดต่อให้ด้วยเสียงเย้ยหยัน

" ที่แท้เจ้าก็กลัวที่จะตาย เจ้ากลัวจะสูญเสียความเป็นอมตะของเจ้า...เฮอะ นี่หรือรักแท้ของเจ้า"หญิงสาวไม่ปฏิเสธ นางเผชิญหน้ากับนางแม่มดและรับคำกล่าวหานั้น

"อาจใช่...มันเป็นความจริงที่ข้ากลัวว่าหากข้าทำให้เขาจำข้าและรักข้าได้ข้าจะต้องตายจากเขาไป"
"และเจ้าก็ไม่เชื่อใจว่าเขาจะทำให้เจ้าจำได้เช่นนั้นหรือ?"

หญิงสาวจ้องหน้าแม่มดนิ่งอยู่ ก่อนตอบ

สิ่งที่ข้าเกรงไม่ใช่เรื่องนั้น...ท่านรู้อะไรไหม...ตลอดเวลาอันยาวนานที่ข้าเฝ้าเดินทางตามหาเขาเฝ้ารอคอยวันแล้ววันเล่ารอวันที่เขาจะกลับมาหาข้าอีกครั้ง...ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองการเกิดและการตายของเขามันคือความทรมานอันยาวนานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...และสำหรับข้าความทุกข์อันแสนสาหัสคือ การได้เห็นความทรมานของผู้เป็นที่รักโดยที่เราไม่อาจเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้...หลายครั้งที่ข้าอยากให้ตัวข้าเห็นแก่ตัวพอที่จะพยายามทำให้เขารักทำให้เขาระลึกถึงข้าได้อีกครั้งเพื่อที่ข้าจะได้เป็นอิสระต่อการพันธนาการนี้...แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมันความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเนื่องจากการรอคอยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ทำให้ข้าคิดได้

...ข้าไม่อาจให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกทรมานเช่นที่ข้าได้รู้สึก...ความรักของข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะตัดสินใจพยายามให้เขาจำข้าได้ต่อไปและจากนี้ต่อไป แม้ว่าข้าจะต้องรอคอยไปชั่วนิรันดร์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือข้าจะทำให้เวลาของเขามีแต่ความสุขเท่าที่พลังของข้าจะทำได้ข้าอาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาก็จริงแต่ข้าก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของเขา...ข้าอาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของท่านอย่างไรก็ตามนี่ก็คือความรักของข้าคือสิ่งที่ข้าเป็น...แม้ชีวิตของข้าจะต้องเดียวดายตลอดกาลแต่ข้าก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าคนที่ข้ารักจะไม่มีวันเดียวดายเช่นตัวข้า...เพราะเขาจะมีข้าข้างกายเขาชั่วนิรันดร์ "........................

นิทานเรื่องนี้ไม่มีตอนจบเพราะอยากให้คนที่อ่านจินตนาการถึงตอนจบเอาเอง

ในชีวิตของเรามีหลายช่วงต่อหลายช่วงที่เราคิดว่าเรารักใครสักคนมากมายเหลือเกินและหลายต่อหลายครั้งที่ความรักของเราก็ต้องการความรักตอบกลับมาหลายคนฟูมฟายกับโชคชะตาว่ารักที่ไม่ได้รักตอบคือการสูญเวลาเปล่า...

แต่มีหลายต่อหลายคน...ที่ดีใจกับโชคชะตาที่เกิดมาสักครั้งแต่ยังได้รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ...

ทุกอย่างในชีวิตมีทางเลือก...ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกทางไหน...หรือคุณจะเลือกหรือไม่?คุณจะเลือกทางไหน

...เปิดประตูรับความรักเข้ามาเพื่อเติมความอบอุ่นให้กับหัวใจแม้เพียงช่วงหนึ่งของชีวิต...หรือจะมัวแต่ฟูมฟายโทษตัวเองกับความรักที่ให้ไปแต่ไม่ได้รักตอบ...??

...ทางเลือกเป็นของคุณ...

ขอบคุณบทความดีๆจาก โพสต์สไมล์

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

ที่ตรงนั้น...กับที่ตรงนี้...

เพราะสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเรามีหลายด้าน
บ่อยครั้งเราเกิดสับสนว่าจะรักษาอะไรไว้
จะเลือกอะไรดี “ระหว่างชีวิตกับความรัก”
เราไม่จำเป็นต้องเลือก
เพราะสองอย่างสำคัญเท่ากัน
เพียงแต่…
“ที่ตรงนั้นกับที่ตรงนี้
ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน”

ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิต
เราก็จะรู้วิธีรักษาและดูแลชีวิต
และถ้าเรารู้จักคนรักและความรักอย่างแท้จริง
เราจะรู้จักวิธีประคับประคอง ดูแลรักษา
ให้ความรักเดินไปพร้อมๆ กับด้านอื่นๆ ได้

แล้วถ้าเราเข้าใจทั้งสองด้านได้มากพอ
เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องแบกชีวิต
พร้อมกับดูแลความรักให้ดีอยู่เสมอ
เพราะแท้จริงแล้วทั้งสองสิ่ง
ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน

“ชีวิตอาจต้องการการทุ่มเท
แต่ความรักต้องการความใส่ใจ”

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tamdee.net/



วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

สายลมสีชมพู


ลมหนาวพัดผ่านมาครั้งนี้
คงถึงเวลาที่จะพัดผ่านไปด้วยกัน

รู้มั้ย ลมหนาวพัดผ่านมาอีกครั้งแล้ว
ความรู้สึกลึก ๆ ที่อยู่ข้างใน
มันก็ค่อย ๆ พัดพาออกมากับสายลม
จะมีใครเป็นเพื่อนผมได้ดีเท่าสายลม
ลมหนาวในยามที่แสงแดด เจิดจ้า แต่อากาศเย็นเช่นนี้
ถ้าหากครั้งใด ที่เราถามตัวเอง
ว่าเหตุใด ชีวิต จึงเป็นเช่นนี้
มันมีทุกข์ มีสุข นั่นคือคำตอบใช่ไหม
ให้มันผ่านไป ผ่านไปกับสายลม

ลมเบา ๆ รอบ ๆ ตัวเรากลายเป็นลมหนาว
แสงแดดอุ่น ๆ ก็อ่อนหวานกว่าฤดูไหน ๆ
รอยยิ้มจาง ๆ กับใบไม้เล็ก ๆ โรยราย
สีขาวใสบริสุทธิ์ กับสีชมพูเปื้อนแก้ม
เสียงเปียโนอ่อนนุ่มกับสายกีตาร์ดีดพริ้ว

ลืมตาสัมผัสแดดไอยามเช้า
กลิ่นพีชจากดอกไม้แห้งข้างเตียง
เคล้ากรุ่นไปในอากาศ
แต่งแต้มสีสันให้
สายลมสีขาวสายลมหนาว ๆ เจือไปด้วยสีส้มบาง
สายลมที่เต็มไปด้วยความฝัน และจินตนาการของผม
คงเป็นได้แค่นี้

แต่สายลมอ่อนโยนที่พัดผ่านตัวเธอ
ถ้าสายลมนั้นจะผ่านมาทางผมบ้าง
ให้สายลมสองสีได้บรรจบกันเป็นผืนเดียว
เหมือนผ้าบาง ๆ ที่มีสีต่างกัน
ไหลลื่นผูกมัดเป็นผ้าผืนเดียว
ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น ...
สีที่มองเห็น สายลมที่โอบล้อมตัวเรา
คงเป็นสีชมพูสาย

ลมพัดผ่านทุ่งกว้าง
ผ่านหุบเขา ลำน้ำ ท้องทะเล
จากผืนดินสู่พื้นน้ำ จากยอดเขาสีขาวไปสู่ป่าดงดิบสีเขียว
ผ่านไร่ข้าวโพดสุดสายตา สวนดอกไม้
ลู่ไล่ไปตามสายน้ำ จากต้นน้ำ มหาสมุทร
ไกลเพียงใด สายลมก็จะพัดผ่านไป
แม้ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แม้ภูผาที่สูงชัน
การเดินทางนับหมื่นล้านไมล์ จะอยู่สุดลึก
ดินแดนที่คนยังไปไม่ถึง หรือจะเป็นในเมืองใหญ่ผู้คนมากมาย
ทุ่งนาสีเขียว ทุ่งหิมะสีขาว ทานตะวันสีเหลืองทอง
จากเดือนปี แต่เพียงสองสามเดือนนี้
สายลมจะพัดกลับมา สายลมสีขาวจะพัดผ่านมา
แวะมาทักทาย ส่งรอยยิ้ม ไต่ถามเรื่องราว
ให้กำลังใจเมื่อยามเหงาและผิดหวัง
เป็นเสียงหัวเราะ เมื่อยามสุขและสมหวัง

แต่สายลมคงทำให้ฝันเป็นจริงไปไม่ได้
เป็นได้ก็แต่ลมที่พัดพาสิ่งต่าง ๆ ให้เดินหน้าต่อไป
ฝันที่เป็นจริงได้ ตัวเราเท่านั้นที่จะทำ

กลัวว่าสักวันหนึ่ง
สายลมสีชมพูไม่พัดผ่านมา
ใจฉัน จะลอยตามลมอื่นไป
ลมนั้นอาจะเป็นพายุรุนแรง
หรืออาจเป็นสายลมสีดำทมิฬ

คงจะมีสักวัน ...
ที่สายลมสีชมพู ... จะพัดผ่านมา ...
และไม่พัดผ่านไป ...

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก โพสต์สไมล์

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรัก...ของคนตาบอด


คุณเคยเห็นคนตาบอดไหม...
คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่....
คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น..ตลาดนัด...
พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญ ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง...

คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด...
เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่...

นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆ เครื่องนึง...
กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้ ก็คือขันอลูมิเนียม...
อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน..
เราอาจจะไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนัก...
แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน...
และดูเหมือนเขาก็หวังว่าคุณจะต้องชอบมัน...

เราเห็นเขาจับมือกัน...
วินาทีนั้น...ทำให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่เราเคยมองข้ามมาตลอด...

คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า....
คนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ...
เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า...
คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร..
คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น...
เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน....
ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี
ให้กังวลใจ...เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้...
ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน...
ตาสองข้าง ปิดสนิท....แต่เปิดใจเข้าหากัน..
คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ...
ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น...

คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง...
คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก...
คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน...
พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ?

คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด จับมือของคนที่เขารักไว้เสมอๆ เกือบตลอดทั้งวัน...
คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไหม... ?

เรากลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี...
หลายๆ คน มีเกียรติยศ หน้าที่การงานที่ดีเหลือเกิน...
หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด...
แต่พวกเราหลายๆ คนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก...

หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น....
เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ...

อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้...
ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า...
วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน...
ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข....

ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้เราเห็นภาพดีๆ ในวันนี้....

เชื่อว่าครั้งหน้า...ที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น...
คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น...
ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ...
เหมือนกับภาพที่เราได้เห็นในวันนี้...

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก โพสต์สไมล์

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

คำว่า รัก

คำว่า "รัก" มีอะไรมากมายซุกซ่อนอยู่ในนั้น
อาจจะหวานชื่น ขมขื่น หรืออะไรอื่นอีกหลากหลาย
ที่จะทำให้คนรู้จัก "รัก" ได้สัมผัสและรู้สึกถึง…

ความรักเริ่มจากความคิด
เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก
บางที.. ความรักอาจทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดไปจากเดิม
อาจทำให้คนเราต้องปรับปรุงในสิ่งที่เคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน

ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา
คุณจะไม่สามารถรักใครได้ ถ้าไม่รู้สึกเชื่อมั่นเสียก่อน
และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น ก็คือตัวเอง

ความรักคือการให้
ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรัก สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการให้ ยิ่งให้.. คุณก็จะยิ่งได้รับ
สูตรลับของความสุข และทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอาไว้เสมอก็คือ
อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่า

ในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่
อยากได้รักแท้ ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้เสียก่อน
การจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่า.. ต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันหรือเปล่า
หากจะรักใครอย่างจริงใจ คุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็น มิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบาน
เติบโตทุกๆ วันนั่นเอง

การสัมผัส ช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้น
เคยรู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครโอบไหล่หรือกอดคุณ?
การสัมผัส.. จึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลัง
และช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วย
น่าแปลกที่การสัมผัสสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาบางลงได้

อยากรักต้องรู้จักปลดปล่อย
ถ้าคุณรักใคร.. จงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้าง
เพราะคุณเองคงรู้สึกอึดอัด ถ้ามีใครมาล่ามโซ่คุณ ดังนั้น..
จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดี
เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยความกลัวภายในใจเรียนรู้ที่จะยุติธรรม และลดทิฐิ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ลงบ้าง
ลองบอกตัวเองว่า.. นับแต่นี้ คุณจะทิ้งความกลัวทั้งหมด
แล้วอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวคุณได้.. นับจากวันนี้ไป คุณก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที

ชีวิตจะเปลี่ยนไป
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้างและซื่อสัตย์ต่อกัน รวมถึง..
คุยกับคนรักอย่างเปิดเผย และกล้าที่จะพูดถ้อยคำวิเศษว่า "ฉันรักเธอ"
โดยไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไป
คุณควรจะบอกรักก่อนจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางที..
นั่นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะพบกัน!

แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกัน
ถ้าคุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนหนึ่งจะรู้สึกระแวง กังวล และหวาดหวั่นข
ณะที่อีกคนรู้สึกอึดอัดใจ ที่สำคัญ..
คุณไม่อาจรักใครจริงๆ ได้ ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาคนนั้นอย่างแท้จริง

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก โพสต์สไมล์

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ต้นไม้แห่งรัก

นานมาแล้ว ในป่า มีต้นแอปเปิ้ลอยู่ต้นหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่ชอบวิ่งเล่นรอบ ๆ ต้นแอปเปิ้ล ทุกวัน
แต่เวลาผ่านไป เด็กชายคนนั้นโตขึ้นและไม่ได้มาเล่นที่ต้นแอปเปิ้ลทุกวันเหมือนก่อน.
วันหนึ่งเด็กชายคนนั้นกลับมาพร้อมท่าทางเหงาหงอย
"มาเล่นกันเถอะ" ต้นแอปเปิ้ลชวน
"ฉันไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ฉันไม่อยากเล่นที่ต้นแอปเปิ้ลอีกแล้ว ฉันอยากเล่นของเล่นแต่ไม่มีเงินซื้อ" เด็กชายตอบ
"เสียใจด้วย ฉันก็ไม่มีเงิน แต่มีลูกแอปเปิ้ล เธอเก็บไปขายได้นะ จะได้มีเงิน" ต้นแอปเปิ้ลพูด
แล้วเด็กชายคนนั้นก็เก็บลูกแอปเปิ้ลจนหมดต้น แล้วจากไป ...
วันหนึ่งเด็กชายกลับมา
"มาเล่นกันเถอะ" ต้นแอปเปิ้ลชวน"ฉันไม่มีเวลาเล่นแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัว ต้องสร้างบ้าน เธอช่วยฉันได้ไหม" เด็กชายตอบ
"เสียใจด้วย ฉันไม่มีบ้านให้เธอ แต่เธอตัดกิ่งของฉันไปทำบ้านของเธอได้นะ" ต้นแอปเปิ้ลตอบ
เด็กชายในอดีตยิ้มด้วยความดีใจ พร้อมกับตัดกิ่งต้นแอปเปิ้ลไปจนหมด แล้วจากไป ...

วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กชายคนนั้นกลับมาอีกครั้ง
"มาเล่นกันเถอะ" ต้นแอปเปิ้ลชวน
"ฉันแก่มากจนเล่นไม่ไหวแล้ว ฉันอยากแล่นเรือ เพื่อพักผ่อนในช่วงสุดท้ายของชีวิต มีเรือให้ฉันยืมไหม"
"ใช้ลำต้นของฉันไปสร้างเรือสิ เธอจะได้มีเรือตามที่ต้องการ"
เด็กชายจึงตัดลำต้นไปสร้างเรือ และแล่นเรือออกไป โดยไม่ได้กลับมาอีกนาน...

สุดท้ายหลายปีผ่านมา เด็กชายก็กลับมา
"ฉันเสียใจด้วย ฉันไม่มีอะไรจะให้เธออีกแล้ว เหลือแต่รากที่กำลังจะตายของฉันเท่านั้นเอง" ต้นแอปเปิ้ลกล่าวด้วยเสียงร้องไห้
"ฉันไม่ต้องการอะไรมากหรอก นอกจากเอนกายพักผ่อน เพราะฉันเองก็เหนื่อยล้ามาหลายปีแล้ว" เด็กชายตอบ
"ดีเลย รากไม้ นี่แหละ คือที่ ๆ ดีที่สุดที่เธอจะเอนกายนอนลงมา จงพักผ่อนเถิด" เด็กชายก็นั่งลง และต้นแอปเปิ้ลดีใจมาก พร้อมยิ้มทั้งน้ำตา

เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้ สำหรับท่านที่อ่านมาถึงนี้แล้ว ลองนึกดูว่าต้นแอปเปิ้ล คืออะไร????
ต้นแอปเปิ้ลคือ พ่อแม่ของเรา ตอนแรกที่เรายังเด็ก อยากเล่นกับพ่อแม่ แต่พอโตขึ้น ก็จากท่านไป จะกลับไปก็ต่อเมื่อ เรามีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเราก็ยังอยู่ที่นั่นเสมอ คอยให้กำลังใจ เอาใจใส่ และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากมี อยากได้ อยากเป็น ให้อภัยในความผิดถึงแม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เรามีความสุข...

ขอขอบคุณบทความดีๆจาก โพสต์สไมล์

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

เคยรู้สึกอย่างไร

พรุ่งนี้
หัวใจเก่าต้องเดินทาง
แม้ต้องจำใจอ้างว้าง
แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
และอย่างน้อยเธอจะได้รู้ว่า
มีบางเวลาที่ฉันขีดเขียนถ้อยคำ
เก็บไว้ในใจให้ตอกย้ำ
ให้จำว่าเคยรู้สึกอย่างไรต่อเธอ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ดอกไม้ในซอกหิน

เป็นเรื่องที่งดงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อต้นไม้ต้นเล็กๆ ผลิดอกสีขาวแย้มบานอยู่บนลานหิน
ในความอ่อนหวานแต่ดูเจียมตัวนั้น
พร้อมที่จะอวดดอกชูช่องดงามแปลกตา
ทั้งที่ต้นไม้ทุกต้นน่าจะงามได้ก็เพียงบนลานดินที่ชุ่มชื้นเท่านั้น
แล้วจะมาเติบโตบนลานหินได้อย่างไร

ถ้าเรามองดีๆ แล้วในลานหินที่มีก้อนหินเรียงรายกันอยู่นั้น
จะมีซอกเล็กๆ ตามรอยต่อซอกหิน
ที่มีดินชื้นอยู่เล็กน้อยมองเห็นเป็นเส้นบางๆ
แต่บางครั้ง..ก็มากพอสำหรับการเจริญเติบโตของต้นไม้เล็กๆ บางต้น
ที่ไม่ต้องการพื้นที่มากมาย
แต่ขอเพียงมีที่ได้เสียดยอดและผลิดอกออกใบก็พอแล้ว

ชีวิตของเราก็เป็นเช่นนั้น
หลายครั้งที่เราจะทำอะไรบางอย่าง
ในขณะที่เราไม่มีความสมบูรณ์พร้อมเท่าคนอื่น
จะหยิบจับอะไรก็ไม่มีความพร้อม
จะหันหาอะไรก็มีแต่ความขาดแคลน
ทำให้งานแต่ละงานเหมือนมีอุปสรรคมากมาย
จนทำให้ท้อถอย และหมดกำลังใจ
รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีเวที ไม่มีโอกาส
จนดูเหมือนว่าปัญหาและอุปสรรคถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน

แล้วเราจะอยู่ได้ไหม จะอยู่ได้อย่างไรในที่อย่างนั้น
หากที่ตรงนั้น เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราจะยอมอยู่ตรงนั้นจริงๆ หรือ
ที่ๆ เหมือนมีก้อนหินกดทับไว้คลอดเวลา
คงไม่มีแม้แต่ที่ให้หายใจ
ทุกๆ วันคงทำได้เพียงแค่นั่งมองให้ความฝันของตัวเอง
ค่อยๆ แตกดับลงไปเรื่อยๆ
พร้อมกับกำลังใจที่ค่อยๆ เหือดหายไปจากชีวิต

มีเวลาไหม
ลองคิดดูให้ละเอียดอีกครั้ง
ถามตัวเองอีกครั้งว่าอะไรที่ทำให้เราอึดอัด
อะไรที่ทำให้เราเหมือนถูกกดทับตลอดเวลาจนทำอะไรไม่ได้
เพราะว่าเราต้องการพื้นที่กว้างเพื่อเติบโตใช่ไหม
เราต้องการความสมบูรณ์พร้อมอย่างเดียวใช่หรือเปล่า

เราไม่ได้คิดเลยใช่ไหมว่า..ไม่มีใครที่เกิดมากับความสมบูรณ์พร้อม
หรือว่าเพราะความคิดแค่นั้น..ที่ทำให้เราเติบโตไม่ได้
กลายมาเป็นข้ออ้างว่า..ทำอะไรไม่ได้

ลองมองดูสิ่งรอบตัวในแง่มุมอื่นดูบ้าง
มองชีวิตในแง่ของการเติบโตตามธรรมชาติ
ธรรมชาติที่เริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยไปสู่ความเติบใหญ่
เริ่มต้นจากความไม่มีไปสู่สิ่งที่มี
เริ่มจากงานที่เล็กไปสู่งานที่ยิ่งใหญ่
และ...
ต้นไม้มากมายหลายต้น..ที่เริ่มหยัดยืนให้ได้ในที่เล็กๆ
เพื่อวันหนึ่งจะขยายกิ่งก้านออกไป

ละเอียดลออกับการใช้ชีวิตอีกสักนิด
สิ่งที่เราคิดว่าไม่ได้ก็อาจจะได้
สิ่งที่เราไม่คิดว่ามีอาจจะยังมีอยู่
เราอาจจะเห็นซอกหินเล็กๆ ที่พอให้เราโผล่พ้นขึ้นมาได้
ที่ตรงนั้นมีอยู่จริง
แม้ว่าก้อนหินจะเรียงตัวกันจนดูเหมือนทับกันอยู่
ขอเพียงเรารู้วิธีการขยับหินบางก้อนให้มันเคลื่อนไหวไปมาสักนิด
ให้ก้อนหินเปลี่ยนรูป เปลี่ยนทิศทางการวางอยู่
เราอาจจะเห็นช่องว่างช่องเล็กๆ ที่กำลังรอคอยเรา
ให้เราค่อยๆ เบียดออกมาจนถึงรอยต่อของก้อนหิน
ที่มีเส้นดินรอยเล็กๆ
แต่สามารถทำให้ต้นกล้าเสียดยอดขึ้นมารับแสงตะวันได้
รอยต่อของความขาดแคลนที่มีอยู่อาจจะเป็นเรี่ยวแรงพลังที่ยิ่งใหญ่
ให้เรามีกำลังต่อสู้กับอุปสรรคได้เช่นกัน

ต้นไม้ที่ถูกกดทับไว้ใต้ก้อนหิน
ยังพยายามสู้อดทน จนเบียดขึ้นมาชูช่อได้
ชีวิตแค่มีอุปสรรคบ้างนิดเดียว
ไม่ได้ถูกกดทับด้วยปัญหามากมายขนาดนั้น
ทำไมจะข้ามผ่านอุปสรรคนั้นไม่ได้

ต้นไม้...ไม่อาจเติบโตได้ใต้ก้อนหิน
ดอกไม้จะสวยงามได้ต้องหาพื้นที่ในการผลิดอกให้ได้
คนจะยิ่งใหญ่ต้องเติบโตได้ ด้วยการเอาชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tamdee.net

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ชีวิตคือการต่อสู้

ชีวิตคือการต่อสู้นะคนดี
ถึงแม้บางทีจะล้มลงบ้าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องละวาง
ขอให้เธอก้าวย่างสู่ทางฝัน
ถึงบางครั้งจะเหน็ดเหนื่อยท้อแท้
ก็อย่าอ่อนแอ เพราะเธอยังคงมีฉัน
เราสองคนจะคอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ในวันที่ใจเรานั้นอ่อนแอ

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

สะพานชีวิต

สะพานชีวิตที่ทอดยาว เส้นทางสีขาวที่ก้าวเดินในแต่ละก้าว
ถูกแต่งแต้มให้เป็นสีต่างๆกันไป
บางก้าวเป็นสีที่สดใส บางก้าวเป็นสีเท่าหม่น
สลับสับเปลี่ยนกันไป ทำให้สะพานดูมีสีสัน
ในขณะที่ฉันเดินมาถึงกลางสะพาน
อีกหลายๆคนเดินอยู่ข้างหลังฉัน
และก็ใครอีกหลายๆคนที่เดินนำหน้าฉัน
นั่นคือเส้นทางที่ทุกคน
จะต้องเดินไปตามบาทวิถี
หนทางสิ้นสุดอยู่ที่ใดทุกคนรู้
อยู่ที่ว่าเราจะก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง
หรือปล่อยจิตใจให้ล่องลอยโดยที่ไม่รู้ว่า
ฉันย่างก้าวถึงไหนแล้ว
ตอนนี้ฉันกำลังล่องลอยอยู่กลางสะพาน
ฉันรู้สึกเคว้ง บางอารมณ์ฉันอยากเดินกลับไป
แต่ในแต่ละก้าวที่ฉันเดินผ่านมา
มันได้ถูกแต่งแต้มสีสันไปแล้ว
แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น
ในทุกย่างก้าวต่อไป ฉันเตือนตัวเองว่า
จะต้องแต้มสีสันในก้าวต่อไปให้สดใส
ดียิ่งกว่าเดิมจนกว่าหนทางจะสิ้นสุดลง
ตามทางข้างหน้ามันยังคงเป็นสีขาว
ที่รอสีสันมาแต่งแต้ม
ฉันยังคงก้าวเดินต่อไป ต่อไป
บนเส้นทางสะพานชีวิต....

บันดาลใจจาก เรื่องสั้นสะพานชีวิต

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ท่วงทำนอง...ของน้ำตา

ร้องไห้ออกมาเลย
หากยังไม่เคยเสียใจ
จะไปแคร์สายตาใคร
ในเมื่อเราพอใจจะทำ
ร้องไห้ออกมาเลย
หากว่าไม่เคยเจ็บช้ำ
เมื่อร้องแล้วก็จดจำ
ท่วงทำนอง...ของน้ำตา

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

ถนนสายเก่า

ถนนสายเก่าเก่า
ไม่มีเราทั้งสอง
ฉันทำได้แค่นั่งมอง
เธอเดินจากฉันไป
เมื่อเธอเดินลับลา
น้ำตาก็รินไหล
ไปเถอะถ้าอยากไป
ฉันคงร้องไห้อีกไม่นาน

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

ไม่มีอะไรน่าจดจำ

ถ้อยคำบางคำ
การกระทำบางอย่าง
ของใครบางคน
อาจทำให้เรารู้สึกว่า...
ความจริงใจที่เรามีให้
ไม่เคยมีความหมาย
และไม่เคยได้มันตอบกลับมา
บทเรียนเหล่านั้น...
มันทำให้เราได้รู้ว่า
คนคนนั้น...
ไม่ควรที่จะอยู่ในสายตา
ถ้อยคำอย่างนั้น...
มันไม่มีคุณค่า
การกระทำอย่างนั้น...
มันก็แค่...
สิ่งเลวร้ายที่เคยผ่านมา
ไม่มีอะไรน่าจดจำ

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

บอกกันหน่อยได้ไหม?

อยากจะฟังเหตุผล
ที่เธอทำกับคนๆนี้
ไม่เคยใส่ใจ...ใยดี
ทิ้งกันไปง่ายๆอย่างนี้เพราะอะไร

บอกกันหน่อยได้ไหม?
เพื่อคลี่คลาย ข้อสงสัย
แค่เพียงอยากรู้ว่าทำไม
เธอถึงทิ้งกันไปได้ คนเคยรักกัน

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

สัญญา

แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
อยากให้เธอรู้ไว้เสมอ
แม้เราจะ...ไม่ได้มาพบเจอ
รู้ไว้นะ...เธอฉันคอย...ห่วงใย

รักเธอมากรู้ไว้ซะบ้าง
แม้ไกลห่างรักยังติดตามไปอยู่ใกล้
วันเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
สัญญานะว่ารักในใจไม่เปลี่ยนแปลง