วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คู่นั้นสำคัญไฉน

ชีวิตคู่ คือการอยู่ร่วมกันอันยาวนานของหญิงกับชาย ซึ่งได้ตัดสินใจที่จะเนินชีวิตร่วมกัน รับผิดชอบชีวิตซึ่งกันและกันโดย ทั่วไปฝ่ายชายจะเลือกหญิงในด้านรูปร่าง หน้าตา มีลักษณะที่อ่อนโยน มีคุณสมบัติเป็นแม่บ้านแม่เรือน ในบางรายก็ต้องการมีรายได้มาช่วยครอบครัวด้วย หญิงนั้นส่วนมากจะเลือกชายที่มีความรับผิดชอบ มีการงานมั่นคง มีลักษณะเป็นผู้นำ มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว สามารถให้ความปกป้องคุ้มครองได้ ผู้ที่มีพัฒนาการบุคลิกภาพที่เหมาะสมจะใช้เหตุผลในการเลือกคู่ครองมากกว่า ใช้อารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณคิดจะเลือกคู่ครอง คุณควรจะรู้จักตนเองและความต้องการของตนเอง ตลอดจนมีความคาดหวังอย่างสมเหตุสมผลในตัวของคนที่คุณเลือกมาเป็นคู่ครอง

ในปัจจุบัน การให้ผู้ใหญ่จัดหาคู่ครองให้มีน้อยมาก อาจจะมีอยู่บ้างในสังคมชนบท หรือในสังคมที่ยังมีค่านิยมที่หนุ่มสาวยังมีความผูกพันกับบิดามารดาและมอบ ให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ส่วนในสังคมเมืองที่ชายหญิงมีการศึกษาสูงและมีอาชีพ มีโอกาสพบปะกันมากจึงนิยมเลือกคู่ครองด้วยตนเอง

ฉะนั้น หากคุณกำลังหาหรือกำลังเลือกใครสักคนเพื่อจะเลือกมาเป็นคู่ครองอยู่แล้วละก็ ควรคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้ดูบ้างนะคะ

1. ควรมีอายุใกล้เคียงกัน ไม่ควรแตกต่างกันเกิน 10 ปี โดยทั่วไปชายควรมีอายุมากกว่าหญิง

2. มีอาชีพและรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้

3. มีวุฒิภาวะทางอารมณ์และบทบาทสังคมอย่างเหมาะสม

4. มีความรักใคร่ผูกพันมีความปรารถนาดีต่อกันนับถือและยอมรับในรสนิยมและบุคลิกภาพซึ่งกันและกัน

5. มีบุคลิกภาพที่เข้ากันได้ มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน ซึ่งไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งมากเกินไป รู้จักประนีประนอมกัน

6. มีความใกล้เคียงกัน หรือไม่แตกต่างกันมากในระดับการศึกษา ภูมิหลัง คุณธรรม ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความสนใจ รสนิยมทางเพศ อุดมการณ์ของชีวิต การสังคม ความเชื่อ สภาพเศรษฐกิจ และเชื้อชาติ

7. มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันนานพอที่จะรู้จักกันอย่างแท้จริงในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะวิธีการแก้ปัญหาและการปรับตัวต่ออุปสรรคในการดำเนินชีวิตของแต่ละฝ่าย

8. มีโอกาสรู้จักกับครอบครัว เพื่อนและสังคมของกันและกัน

9. ควรทราบว่าตนต้องการคู่ครองแบบได และมีเหตุผลอย่างไร ไม่ควรใช้อารมณ์โดยปราศจากเหตุผลในการพิจารณาเลือกคู่ครอง

10. ไม่ควรเลือกผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองเพื่อชดเชยสิ่งที่ตนขาดแคลนหรือคาดหวังที่จะพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป

11. ไม่คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนจากอีกฝ่าย แต่ควรพิจารณาดูว่าตนเองมีบทบาทให้ความช่วยเหลือในการอยู่ร่วมกันได้เพียงไร

12. พร้อมที่จะปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง ไม่ควรคาดหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขข้อบกพร่องของเขาภายหลังแต่งงาน

13. คำนึงไว้เสมอว่า ยังมีส่วนของบุคลิกภาพของผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองที่ยังไม่แสดงออกมาชัดเจนจนกว่าจะได้มาอยู่ร่วมกัน

14. ควรมีการปรึกษากันในการดำเนินชีวิตสมรส เช่นบทบาทในครอบครัว แผนชีวิตในอนาคต การใช้จ่ายเงิน และการสงเคราะห์ญาติ

อย่างไรก็ตามปัจจัยในการเลือกคู่ครองที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นเพียงข้อเสนอแนะบางส่วนเท่านั้น ที่คุณสามารถจะใช้เป็นแนวทางในการเลือกคู่ได้และที่สำคัญคือ คุณควรได้มีการเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขั้นในข้างหน้า เพราะ การแต่งงานมิใช่การลดปัญหาหรือการได้ประโยชน์จากผู้อื่น แต่เป็นการเผชิญปัญหาชีวิตในอีกระดับหนึ่งที่คู่สมรสจะต้องช่วยกันประสาน ประโยชน์ในครอบครัว เพื่อความผาสุกของชีวิตร่วมกัน

ขอบคุณบทความจาก โพสต์สไมล์

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 นิสัยที่ไม่ควรนำมาใช้กับคนรัก

คนเราตอนรักกันใหม่ๆ อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด อย่างคำที่ว่า "ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน" แต่เมื่ออยู่กันไปนานๆ ความเป็นตัวของตัวเอง กับความเคยชิน ก็เลยทำอะไรบางอย่าง ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรับไม่ได้ จนถึงขั้นต้องบอกเลิกรากันไป ดังนั้น วันนี้จะขอบอกเล่าเก้าสิบ เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้คนรัก ต้องเลิกรามากที่สุด เพราะนิสัยเหล่านี้ ไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง

1. เอาแต่ใจตัวเอง
เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ทุกคนต้องเอาแต่ใจตัวเองกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครจะเอาใจตัวเองมาก หรือน้อยเท่านั้นเองค่ะ บางคนคิดว่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองน้อย แต่ความจริงแล้วมากเนี่ย ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย

2. ทำตัวเป็นเจ้าของมากเกินไป
การที่คุณแสดงตัวให้ใครต่อใครได้รู้ว่าคุณกับเขาเป็นแฟนกันเนี่ย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเขาในลักษณะที่เป็นเงาตามตัวกันเลย เช่น ไปไหนไปด้วย ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ โดยไม่ให้เขามีเวลาส่วนตัวแม้แต่นิดเดียว ก็อาจเป็นปัญหาได้เหมือนกัน

3. หึงแบบไร้ขีดจำกัด
คงจะห้ามกันได้ยาก เรื่องความหึงเนี่ย แต่ต้องมีลิมิตกันบ้างนะคะ ไม่ใช่ว่าเพื่อนคุยด้วยก็ยังหน้ามืดตามัว หึงขนาดนั้น คงจะไม่ไหว บางคนเข้าขั้นโทรเช็คตลอดเวลา อันนี้น่าเป็นห่วงมากค่ะ

4. บอกเลิกทุกครั้งที่ทะเลาะ
ส่วนใหญ่จะเกิดจากฝ่ายหญิงซะมากกว่า จริงๆ แล้วก็พูดแค่อยากให้เขามาง้อเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลในช่วงแรกเท่านั้นค่ะ แต่หลังๆ ล่ะก็ เอ้า.. อยากเลิกดีนัก เลิกเลยดีกว่า น้ำตาเช็ดหัวเข่าค่ะ

5. ไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น
ถือได้ว่าคุณไม่ได้ให้เกียรติคนที่คุณรักเลย ซึ่งทุกคนก็ย่อมหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง บางครั้งอาจทำ เพื่อให้อีกฝ่ายหึงเล่นๆ เป็นการคอนเฟิร์มว่าคุณเองก็มีค่าสำหรับพวกเขา แต่ต้องระวังนะคะ เพราะมองอีกมุม คือคุณไม่แคร์ความรู้สึกของเขาเลย และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันไปทำไม

6. เชื่อเพื่อนมากเกินไป
บางครั้งเพื่อนก็ไม่อยากให้คุณมีแฟน ซึ่งก็โทษไม่ได้อีกนั่นแหล่ะค่ะ เพราะจากที่เคยเจอกัน ทานข้าวด้วยกันทุกวัน ก็กลับกลายเป็นว่าคุณไปตัวติดกับแฟนแทน หรืออาจจะด้วยความหวังดีมากเกินไป ก็เลยคิดแทนคุณไปหมด ว่าแฟนคุณดีพอสำหรับคุณหรือเปล่า

7. โกรธแล้วไม่พูดด้วย
เป็นสาเหตุที่ทำให้คู่รักเลิกรากันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ อาการแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า หรือบางทีเรื่องที่โกรธอาจมาจากความเข้าใจผิด แล้วไม่พูดกัน ก็ไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้

8. นัดแล้วไม่เป็นนัด
การเลื่อนนัด ประเภท เลื่อนแล้วเลื่อนอีก หรือว่ามาเลทแบบ นัดเช้ามาบ่าย นัดบ่ายมาเย็น อาการแบบนี้เนี่ย บางคนเขารอบ่อยๆ รอไปรอมา เลิกรอตลอดไปเลยก็มีนะคะ

9. พูดจาข่มกันต่อหน้าคนอื่น
อาจจะเพียงแค่อำกันเล่น แต่บางคนอำกันแรงเกินไป อาจจะเกิดการทะเลาะกันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุเล็กๆ ที่จะนำไปสู่ความบานปลายได้ค่ะ

10. โกหก
บางคนโกหกเป็นนิสัย ทั้งที่บางทีไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าอีกฝ่ายเข้าใจก็คงไม่เป็นไร แต่ขอบอกว่าเรื่องอย่างนี้ น้อยคนนัก ถึงจะยอมเข้าใจค่ะ

มีคู่ดีช่วยหนุน ความสำเร็จ

คุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้ นั้น มักมีองค์ประกอบที่อยากแซมเปิ้ลให้ฟังดังนี้

1. คิดเป็น ทำเป็น
มีความคิดสร้างสรรค์ แล้วควรลงมือปั้นความฝันให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้ได้ด้วยนะ ไม่ใช่คิดแต่ทำไม่เป็น จะกลายเป็นฝันกลางวันไปซะเปล่าๆ โดยเฉพาะถ้าอยากมีเงินล้าน งั้นต้องคิดแล้วว่า วิธีไหนจะทำให้คุณมีเงินล้านได้ เช่น ไปซื้อลอตเตอรี่มะ หรือขยันทำงานแล้วเก็บเงินไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบล้านดีน้า? แต่อย่า “หัวหมอ” มีเงินล้านด้วยการไปหลอกเอาเงินประกัน หรือเป็นหัวขโมยตระเวนปล้นร้านสะดวกซื้อเลยไม่ดีแน่ เพราะกว่าฝันจะเป็นจริง คงเข้าไปอยู่ในคุกซะก่อนละมั้ง

2. คิดถึงความก้าวหน้าของตัวเองอยู่เสมอ
เคยได้ยินคำว่า คิดอะไรมักได้อย่างนั้นไหมล่ะ แล้วเชื่อดิ ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมแหงซะ ยกตัวอย่างของจริงให้ฟังก็ได้ มีคู่สามีภรรยาเมื่อก่อนเข็นรถขายก๋วยเตี๋ยวหาเช้ากินค่ำตามทางเท้านี่แหละ แต่ด้วยความอดทนและมุมานะจึงทำให้เดี๋ยวนี้มีร้านค้าเป็นของตัวเองแล้วจ้า เพราะความพยายามแท้ๆเชียว เห็นมะ

3. อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีด้วย
คนจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีสุขภาพดีสิยะ โดยเฉพาะมีร่างกายแข็งแรง ถึงจะอดทนทำงานสร้างฐานะได้ แต่สุขภาพกายแจ๋วอย่างเดียวไม่พอ ควรมีสุขภาพจิตดีด้วย ถึงจะทวินแอ็กชั่น ไม่ใช่สุขภาพกายดี แต่จิตใจว้าวุ่นก็จบเห่กันพอดี อีกอย่างอย่าเห็น “กงจักรลายดอกบัว” เอ้ย กงจักรเป็นดอกบัวเชียว ขืนเดินทางผิดแล้วจะประสบความสำเร็จได้ไงล่ะ

4. มีแฟนที่ส่งเสริมกัน และคบเพื่อนให้ถูกคน
เอ้า ถ้ามีแฟนไม่ได้เรื่อง รับรองคุณต้องรับผิดชอบตัวเองหนักกว่าเป็นโสดซะอีก หรือหากคบเพื่อนที่นำแต่เรื่องซวยๆมาให้ โอกาสที่จะรุ่งเรืองก็หดหายไปเลยว่ามะ เค้าถึงว่า “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้” ขอให้รู้จักเลือกสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตก็แฮปปี้แล้ว

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไม่มีอีกแล้ว

เพราะรักจึงให้อภัย
เมื่อเธอจากไปแล้วหวนกลับ
เพราะรักเธอจึงยอมรับ
ให้เธอกลับมาครองใจ

ทั้ง...ทั้งที่ฉันเจ็บ
ก็ไม่เก็บเอามาคิดอะไร
แต่แล้วเธอก็จากไป
ทิ้งฉันเอาไว้...เพียงลำพัง...

ไม่มีอีกแล้วคราวหน้า
ตัวเธอเองอย่ามาหวัง
ฉันจะไม่ยอมเป็นคนโง่...งั่ง
ที่ยังคิดจะรั้งเธอ...กลับมา

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทำนายเนื้อคู่

มาลองทำนายเนื้อคู่ ด้วยวิธีคำนวณเพื่อทำนายเนื้อคู่แม่นๆ กันดู...

1. นำวันเดือนปีเกิดของตัวเองมาบวกกัน
วันอาทิตย์ = 1 / วันจันทร์ = 2 / วันอังคาร = 3
วันพุธ = 4 / วันพฤหัส = 5 / วันศุกร์ = 6 / วันเสาร์ = 7

ม.ค. = 1 / ก.พ. = 2 / มี.ค. = 3 / เม.ย. = 4 / พ.ค. = 5 / มิ.ย. = 6
ก.ค. = 7 / ส.ค. = 8 / ก.ย. = 9 / ต.ค.= 10 / พ.ย.= 11 / ธ.ค. = 12

ชวด = 1 / ฉลู = 2 / ขาล = 3 / เถาะ = 4 / มะโรง = 5 / มะเส็ง = 6
มะเมีย = 7 / มะแม = 8 / วอก = 9 / จอ = 10 / ระกา = 11 / กุน = 12

2. นำผลลัพธ์ที่ได้มาคูณด้วย 7

3. เสร็จแล้วหารด้วย 9 อีกที

4. เหลือเศษเท่าไร อย่าทิ้ง!! เก็บเอามาดูเฉลยกันได้เลย

แต่ถ้ายัง งง มาดูตัวอย่างกัน สมมุติว่าเกิดวันอังคาร เดือนพฤศจิกายน ปีมะเส็ง
คือ 3+11+6 = 20 คูณด้วย 7 = 140 แล้วหารด้วย 9 ได้ 15 เศษ 5 นำเศษ 5 ที่ได้มาดูเฉลยเลย

คำทำนาย คือ ……

ไม่เหลือเศษ
เนื้อคู่ของคุณคนนี้นิสัยดี ฐานะดี เป็นคนจริงจัง ชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่น ชอบเข้าสังคม มีความมานะ อดทน เป็นคนที่ต้องการให้คนอื่นมาเอาใจ และต้องการให้มีคนมารายล้อมเขามาก ๆ ชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งก็เป็นคนที่โรแมนติกทีเดียว แต่ต้องระวังให้ดีล่ะ เพราะเค้าคนนี้เจ้าชู้มากเลย

เหลือเศษ 1
ลักษณะภายนอกเป็นคนผิวขาว นิสัยเจ้าระเบียบ ใจเย็นจึงต้องการให้คุณอยู่ในระเบียบที่เขากำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แต่เป็นคนที่รักใครแล้วรักจริง และพร้อมเสมอที่จะแต่งงานกับคุณ ขอเพียงคุณเอ่ยปากตกลงเท่านั้นแหละ

เหลือเศษ 2
เป็นคนไม่ถือตัว รูปร่างสันทัด ผิวสองสี เป็นคนร่าเริง มารยาทเรียบร้อยเสมอต้นเสมอปลาย รักเดียวใจเดียว เป็นคนง่ายๆ ชอบตามใจคนอื่นไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากมาย นิสัยดี จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใครๆก็รักค่อนข้างเจ้าชู้ แต่ถ้ารักใครรักจริง

เหลือเศษ 3
เป็นคนผิวขาวเหลือง นิสัยใจคอเด็ดเดี่ยว มีความมั่นใจในตัวเองสูง ช่างเจรจา มนุษยสัมพันธ์ดี เขาจึงมีเพื่อนฝูงมากมาย เป็นผู้นำกลุ่มได้ดี

เหลือเศษ 4
เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเป็นที่สุด รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับให้ทำอะไร และมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ในการงาน ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ปกติแล้วเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ไม่ถือตัว ช่างพูดช่างคุย แต่บางครั้งก็มีอารมณ์อ่อนไหวไปบ้างเหมือนกัน

เหลือเศษ 5
เขาหรือเธอคนนี้มีรูปร่างสันทัด ผิวขาว มีน้ำใจดี อารมณ์ดีได้ทั้งวันปากหวาน บางครั้งก็สุขุมเยือกเย็น และอ่อนน้อม พอๆกับอ่อนไหว แสนงอน และก็ขี้หึง และเก็บความรู้สึกได้เก่งมาก ยากที่จะเดาใจออก เว้นแต่จะพูดออกมา ซึ่งจะพูดแบบตรงไปตรงมา

เหลือเศษ 6
เป็นคนผิวค่อนข้างขาวนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนอื่นได้ง่าย คุณว่าไงก็ว่าตามกันไม่มีขัดใจ ช่างเอาอกเอาใจคนอื่น (รวมทั้งคุณด้วยแหละ) เลยเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ใครๆก็รัก

เหลือเศษ 7
เนื้อคู่ของคุณเป็นคนมีนิสัยอ่อนโยน อ่อนไหวง่าย รักอิสระ ไม่ชอบอยู่ที่ไหนนาน ชอบที่จะสนุกสนานไปเรื่อย ๆ แต่จริงใจและจริงจังกับความรักนะ ไม่ชอบให้ใครบังคับ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่นชอบทำอะไรด้วยความสามารถของตัวเอง และชอบประดิษฐ์คิดค้น

เหลือเศษ 8
จะเป็นคนรูปร่างสันทัด ผิวสองสี ชอบเอาอกเข้าใจผู้อื่น ชอบพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา สังสรรค์ พูดคุยกับผู้อื่น เป็นคนเปิดเผย ง่ายๆ สบายๆ นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนเก็บความลับไม่อยู่ และเป็นคนที่จิงจังกับความรักมากๆ ถ้าคุณเป็นคนเจ้าชู้

เหลือเศษ 9
เป็นคนผิวขาว เงียบๆ ช่างคิด ชอบคิดอะไรเงียบๆคนเดียว แต่มักจะคิดอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น ด้วยความเป็นตัวของตัวเอง เลยไม่ค่อยแคร์คนอื่นเท่าไร ชอบความเป็นผู้นำ และเป็นผู้นำระบอบเผด็จการเสียด้วยสิ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 กฎเหล็กสำหรับคู่รัก

10 เทคนิครัก สำหรับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่ม (10 Love Tactics For New Relationship)

กฎข้อที่ 1 อย่าต้องการมากเกินไป
คนเราลองรักกันแล้วก็ควรให้อิสระแก่กันด้วย ไม่ใช่ว่าพอตกลงเป็นแฟนปุ๊บ ก็ห้ามไม่ให้ไปสุงสิงกะใครปั๊บ แหม...ทำอย่างกะชีวิตรักเป็นชีวิตคุกก็ไม่ปาน แล้วอย่างงี้จะไปกันไหวรื้อ สู้บางเวลาให้แต่ละฝ่ายมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง และบางคราก็หวานแหววกับแฟนมั่ง หากแบ่งสันปันส่วนเวลาส่วนตัวกับส่วน รวมได้อย่างนี้ ความรักก็ยังอยู่กะคนทั้งคู่ รับรองว่าแฟนไม่หนีไปไหนหรอก

การเกาะติดกันเป็นปาท่องโก๋ของคู่รัก ความจริงก็ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะคนเราลองพิศวาสบาดอุรากันแล้วไซร้ ก็ย่อมอยากอยู่ด้วยกัน เป็นธรรมดาโลกน่ะโยม แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่ไม่ช้าก็เร็ว "การอยู่ติดกันเป็นตังเม" ก็อาจทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองอยากทำหรือชอบทำลำพังคนเดียวก็ได้นะ เช่น อดดูหนังเรื่องที่คุณชอบเพราะแฟนไม่ชอบด้วยจึงไม่ยอมไปเงี้ย เพราะฉะนั้น จงอย่าเรียกร้องความต้องการที่จะอยู่ด้วยกันมากเกินไปนะจ๊ะ เดี๋ยวเบื่อเร็วไม่รู้ด้วย!

กฎข้อที่ 2 การทำอะไรเล็กๆน้อยๆ ร่วมกัน ย่อมแสดงถึงความเป็นคู่
ไม่ว่าจะเป็นการไปทานอาหารในโอกาสพิเศษที่ภัตตาคารโปรด หรือแค่นั่งทานข้าวโพดคั่วขณะดูทีวีอยู่ที่บ้านด้วยกัน กิจกรรมที่เห็นว่าเล็กน้อยพวกนี้กลับมีพลังมหาศาลที่ช่วยสร้างความผูกพัน ซึ่งเชื่อดิว่าอย่างอื่นก็ไม่สามารถทดแทนได้วิธีการของคุณๆอาจไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อลังการเสมอไป แค่อาบน้ำด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือชวนกันหนุงหนิงไปออกกำลังกายทุกวันศุกร์หลังเลิกงาน เท่าเนี้ยก็รักษาความผูกพันกันไว้ได้แล้ว

กฎข้อที่ 3 อย่าคิดว่าความสัมพันธ์คราวนี้ "เป็นของตาย"
อย่าให้ความรู้สึกเป็นกันเองพัฒนาไปสู่ "การปล่อยตัวตามสบายจนเกินไป" เช่น แม้ทั้งคู่จะโทรศัพท์หากันได้ทุกเมื่อที่อยากจะฝอยแหลกให้อีกฝ่ายฟัง หรือสนิทซะจนต่างฝ่ายต่างช่วยซักกางเกงในให้กันและกันได้ก็เหอะ คุณก็ไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกเป็นกันเอง กลายเป็นจะทำไงต่อดาร์ลิ่งก็ได้โดยปราศจากความเกรงใจ หรือเลิกพูดคำหวานๆ และหยุดที่จะให้กำลังใจกันอีกต่อไปเพราะคิดตื้นๆ ว่าไม่จำเป็น แต่จริงๆแล้วยังจำเป็นนะ

กฎข้อที่ 4 ยังจูบประทับใจกันอยู่เลย
การจูบแบบดื่มด่ำฉ่ำหวาน เป็นการช่วยให้ไฟรักของคุณโชติช่วงชัชวาลในความสัมพันธ์ของคุณ ด้วยเหตุที่ว่า การจูบเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับความรักและความโรมานซ์ ฉะนั้น จงยุติการจุ๊บปากชนปากแบบนกจิกซะ แล้วเปลี่ยนเป็นจุมพิตแบบดูดดื่มมิรู้ลืมดีกว่า รับรองจะเรียกคะแนนนิยมจากหวานใจได้อีกเพียบ

กฎข้อที่ 5 ตระหนักว่า การทะเลาะนั้นมีไว้เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ
การทะเลาะเบาะแว้งเป็นสัจธรรมของการมีชีวิตคู่ ฉะนั้นไม่ต้องกระต่ายตื่นตูมจนเกินไป หากว่าคู่รักจะมี ปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยแล้วคิดว่า ตายแล้ว สงสัยจะเป็นลางร้ายของชีวิตคู่แล้วไหมล่ะ...ขืนคิดแบบนี้ก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไปนะเจ๊

รู้เปล่าว่า การทะเลาะกันบางครั้งกลับทำให้คู่รักใกล้ชิดกันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ไม่ใช่มีแล้วจะทำให้แตกแยกเสมอไปก็หาไม่ แต่การทะเลาะกันก็มีเคล็ดลับตรงที่ควรมุ่งเน้นเพื่อความก้าวหน้า หรือปรับปรุง พัฒนาให้คู่ของเราดีขึ้น ไม่ใช่เพียงต้องการเอาชนะเพื่อความสะใจ เดี๋ยวเหอะ คงได้กลับไปเป็นโสดอีกหรอก

กฎข้อที่ 6 อย่าแค่พูด แต่ลงมือทำ
คำพูดอาจดูสวยหรู แต่คำพูดจะหมดความหมายถ้าคุณทำไม่ได้ดังที่พูด เพราะฉะนั้นแทนที่จะโม้ว่าคนที่คุณรักมีความหมายสำหรับคุณแค่ไหน คุณควรลงมือแสดงความรัก, ความอ่อนโยนและความยอมรับนับถือในตัวสุดที่รักออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ

กฎข้อที่ 7 อย่ากดดันดาร์ลิ่งมากไป
การผลักให้แฟนทำบางสิ่งที่คุณต้องการ เช่น เรื่องบนเตียงหรือเซ็กซ์ๆ เอ็กซ์ๆ มันเป็นการบังคับขืนใจกันเกินไปรึเปล่า ต้องคิดถึงใจเขาใจเราด้วยน้า การกดดันสุดที่รักให้ทำในสิ่งที่ไม่พร้อม เท่ากับไปฝืนความรู้สึก แล้วความสัมพันธ์จะลงเอยกันด้วยดีได้ไง ทางที่ดีควรปล่อยให้อะไรๆเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่ามั้ย

กฎข้อที่ 8 อย่าพูดว่า "รักเธอ" ถ้าไม่รู้สึกตามนั้นจริงๆ
เพราะมันเสียความรู้สึกน่ะเซ่ แถมยังบาปอีกต่างหาก ฉะนั้นถ้าไม่รักก็อย่าลวงให้ช้ำ ยังไม่อยากเสียตังค์ซื้อน้ำใบบัวบก แก้ช้ำใน ทราบไว้ซะด้วย

กฎข้อที่ 9 อย่าให้ของขวัญตามอำเภอใจคนให้
การเอาใจแฟนด้วยการรีบให้ของขวัญ แหงล่ะ ไม่ว่าใครย่อมชอบด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งถ้าคุณอยากให้อะไรแก่ หวานใจก็ให้ไปเถอะ แต่มั่นใจหน่อยนะว่าได้ให้ของที่แฟนชอบด้วย ไม่ใช่ให้อะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหล่อนไม่มีวันแกะมันออกมาใช้ ก็อย่าให้ดีกว่า นอกจากจะเปลืองแล้วยังทำให้รู้สึกไม่มีความหมายอะไรด้วย

กฎข้อที่ 10 อาศัยความลึกลับชวนให้น่าค้นหา
ทำตัวให้มีความลึกลับซะบ้าง บางครั้งก็ดีเหมือนกัน การจะมีความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานได้จะต้องมีสัมผัส แห่งการไม่รู้เป็นศิลปะในการเก็บงำความลับเพื่อให้แฟนได้คาดเดาเอาไว้บ้าง เผื่อจะจูงใจให้แฟนอยากค้นหาคุณไง จำไว้เหอะว่า ความไม่เด่นชัดจะยิ่งปลุกปล้ำ เอ๊ย ปลุกปั้นคุณให้น่าสนใจมากกว่าแบไต๋ให้อีกฝ่ายรู้ใจคุณไปซะหมด

ตรงนี้สรุปเป็นสมการได้ว่า ความคาดหวัง+ความสงสัย จะเท่ากับความรัก ไงจ๊ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก Sanook

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทายนิสัยจากสี

มาทำนายทายนิสัยจากสี ที่ท่านชอบกันดู ....

สีแดง
ถ้าคุณชอบสีแดงมากที่สุด แสดงว่าคุณเป็นคนค่อนข้างหุนหันพลันแล่นเอาการ ชอบที่จะเป็นผู้ชนะ และเป็นคนที่เซ็กซี่ไม่เบา คุณสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ มีแรงปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตไปสู่จุดสุดยอดหรือไปให้ถึงปลายสายรุ้งที่วาดหวังเอาไว้ เพราะสีแดงเป็นตัวแทนของอารมณ์ที่ร้อนแรงและพลังที่ไม่รู้จักมอด แต่ถ้าคุณเลือกสีแดงเป็นอันดับที่เจ็ดหรือแปด นั่นหมายถึงคุณไม่ค่อยมีความกระหายที่จะใช้ชีวิตโลดโผนโจนทะยานหรือไม่ปรารถนาผจญภัย

สีเหลือง
เป็นตัวแทนของความสนุกสนาน และความผ่อนคลาย ใครที่เลือกสีเหลืองเป็นอันดับสอง สามหรือสี่ แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้ความสำคัญกับอนาคตและไม่ติดอยู่กับอดีต คุณใฝ่หาชีวิตที่เรียบง่าย มองปัญหาเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยและปราศจากความกังวล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเกียจคร้าน คนที่ชอบสีนี้อาจเป็นคนทุ่มเทให้กับการทำงาน เพียงแต่ไม่เอาจริงเอาจังอย่างสม่ำเสมอ ก็แหม ! คุณเป็นคนที่ชอบอะไร ๆ ที่ง่าย ๆ และผ่อนคลาย ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นอันดับแรก แปลได้ว่าคุณมีความทะเยอทะยาน และกระตือรือร้นกับสิ่งที่ทำให้คุณพอใจและเพลิดเพลิน ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นสีสุดท้าย แสดงว่าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว จมอยู่กับความหดหู่และผิดหวัง ซึ่งทำให้คุณกลายเป็นคนแยกตัวจากสังคม และชอบปกป้องตัวเองจากคนอื่น ๆ

สีเขียว
เป็นตัวแทนของความมั่นคงและความเป็นอนุรักษ์นิยม หรือต่อต้านความเปลี่ยนแปลง คนที่เลือกสีนี้เป็นอันดับแรกบ่งบอกถึงลักษณะของการเป็นคนหนักแน่นยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียว ชอบแสดงความเป็นเจ้าของและค่อนข้างเห็นแก่ตัว คุณเป็นคนมีความสามารถสูงและเป็นนักวัตถุนิยม ชอบสะสมสิ่งหรูหราที่เชิดหน้าชูตา เช่น นาฬิกาโรเล็กซ์ รถยนต์ยี่ห้อดี ๆ ห้องชุดหรูหราที่อยู่บนชั้นสูงสุดหรือเพนท์เฮ้าส์ คุณปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจ และคุณเป็นคนกลัวความล้มเหลวในอนาคต ถ้าเลือกสีเขียวเป็นสีสุดท้าย หมายถึง คุณเคยถูกขัดขวางความก้าวหน้า จนทำให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยเจ็บช้ำน้ำใจ ซึ่งยังคงฝังอยู่ในใจของคุณ ทำให้คุณกลายเป็นคนช่างวิพากษ์วิจารณ์ ถากถาง เย้ยหยัน และดื้อรั้น

สีม่วง
เป็นสีที่มีส่วนผสมของสีฟ้าและสีแดง จึงจัดเป็นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างความรุนแรง หุนหัน พลันแล่น และความสงบเยื่อกเย็น ความแตกต่างระหว่างการอยากมีอำนาจควบคุมคนอื่นกับการสยบยอม คนที่ชอบสีม่วงเป็นอันดับแรก บ่งบอกถึงความเป็นคนที่ปรารถนาจะแสวงหาสัมพันธภาพที่ดีเลิศสุดวิเศษ ต้องการค้นหาในสิ่งลี้ลับเหนือโลก คุณมีความเป็นเด็กสูง ค่อนข้างขาดวุฒิภาวะ และมักติดอยู่กับความเพ้อฝัน ส่วนคนที่ชอบสีนี้เป็นอันดับท้าย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ ไม่ติดอยู่กับความฝันเฟื่อง แต่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

สีน้ำตาล
เป็นสีของมีสุขภาพที่ดี ถ้าเลือกสีนี้เป็นสีที่สี่หรือห้า แสดงว่าคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและรูปลักษณ์ จึงเป็นไปได้ที่คุณน่าจะเป็นคนรูปร่างสวยหุ่นดี แต่ถ้าคุณเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับต้น ๆ นั่นหมายถึงคุณเป็นคนขี้กังวลกับเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย และถ้าสีน้ำตาลเป็นสีโปรดอันดับหนึ่งของคุณ แสดงว่าคุณเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ค่อนข้างกระสับกระส่ายกระวนกระวาย หรือหมายถึงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มั่นคง เขาพบว่าส่วนใหญ่พวกอพยพจะเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับแรก แต่ถ้าคุณเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับสุดท้าย แสดงว่าคุณเป็นคนไม่แยแสกับเรื่องสุขภาพเลย

สีเทา
จัดเป็นสีกลางๆ และเสมือนจุดกึ่งกลางระหว่างสิ่งที่แตกต่างกันสองสิ่ง และแรงดลใจสองขั้ว คนที่พิศวาสสีเทามากที่สุด หมายถึงการเป็นคนปิดตัวเองจากสิ่งต่างๆ ภายนอก และกันตัวเองให้พ้นจากข้อมูลมัดหรือพันธะทั้งหลายๆ คุณมักขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างการใช้เหตุผลกับการใช้อารมณ์ และจะรู้สึกเครียดเมื่อต้องมีส่วนร่วมหรือต้องติดอยู่กับกลุ่ม คุณชอบสังเกตการณ์อยู่รอบนอกมากกว่าจะกระโดดเข้ามาร่วมวงกับคนอื่น ๆ ส่วนใครที่เลือกสีเทาเป็นสีสุดท้ายแสดงว่าคุณแสวงหาการมีส่วนร่วม และเป็นคนกระตือรือร้นอย่างมาก

สีฟ้า
เป็นตัวแทนของความสงบและซื่อสัตย์ คนที่ชอบสีฟ้าเป็นชีวิตจิตใจมักเป็นคนอ่อนไหว เซ็นซิทิฟ และรู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย คุณพอใจในวิถีการดำเนินชีวิตของตัวเอง คุณปรารถนาชีวิตที่สงบ ราบรื่น ไร้กังวล และพร้อมที่จะยอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนานี้ คุณต้องการสัมพันธภาพที่มั่นคง ปราศจากความขัดแย้ง คนที่เลือกสีฟ้าเป็นอันดับรองลงมา หมายถึงคุณไม่พอใจในตัวเองยิ่งคุณไม่ชอบสีฟ้ามากเท่าไร ก็แสดงว่าคุณปรารถนาที่จะทำลายสิ่งผูกมัดที่ควบคุมคุณอยู่มากเท่านั้น แต่คุณก็ยังไม่ถึงกับมีความคิดที่จะโผบินไปจากครอบครัวหรือจากหน้าที่การงานจริงๆ นอกจากเพียงแค่รู้สึกทุกข์ใจอยู่เงียบ ๆ

สีดำ
โดยนัยลึก ๆ สีดำหมายถึงคำปฏิเสธว่า ' ไม่ ' ใครที่ชอบสีดำมากที่สุด ( ซึ่งก็หาได้ยาก ) เป็นคนที่ต้องการท้าทายและอยากต่อต้านพรหมลิขิต ถ้าใครเลือกสีดำเป็นอันดับสอง นั่นหมายถึงคุณพร้อมที่จะยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่คุณต้องการ และถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเลือกสีดำเป็นอันดับที่เจ็ดหรือแปด ซึ่งก็หมายถึงการยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของโชคชะตา ถ้าใครเลือกสีเหลืองเป็นอันดับแรกและตามด้วยสีดำ แสดงว่าเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขอบคุณที่มารัก

ขอบคุณที่มารัก
คนหัวใจเจ็บหนักอย่างคนนี้
แต่ทุกอย่างสำหรับฉันแหลกยับไม่มีชิ้นดี
ความฝันที่มีเลือนวับ...ลับไป
ขอบคุณที่มารัก
เสียใจเสียนักที่ไม่อาจรักได้
รอยร้าวในอกยังรกร้างคาใจ
ไม่อยากสร้างความผิดหวังให้ใครต้องทรมาน
โปรดเห็นฉันเป็นคนแรมทาง
รอนแรมอ้างว้างในทางผ่าน
แวะพักพิงเพื่อที่จะหายจากซมซาน
โปรดอย่าคิดว่าได้พบพาน
กับคนหัวใจร้าวราน...คนนี้เลย

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กลับไปหาเขา

อย่าเอ่ยปากฝากรักฉัน
เพียงเพราะเธอนั้นหมางเมินกับเขา
ก็รู้กันดีในเรื่องระหว่างเรา
ว่าตัวเธอมีเขาเป็นเงาแอบแฝง
เปิดโอกาสให้เธอได้กลับคำ
ไม่ใช่เพราะใจดำหรือทำไปเพราะแกล้ง
แต่บอกตรงๆไม่อยากให้เธอแสดง
อะไรที่เป็นการเสแสร้งให้ขัดนัยน์ตา
กลับไปหาเขาซะเถอะไป
อย่าทำให้ใจฉันต้องหมดศรัทธา
เพราะฉันยังอยากให้เธอมีค่า
อยู่ในสายตาไปอีกนานๆ

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฉันเหมือนดอกไม้

ฉันเหมือนดอกไม้
เอนไหวอยู่ในริ้วแดดผ่าว
กลางคืนตากลมห่มดาว
รอวันหักร้าวโรยรา
ฝันหาคนใจดี
ผ่านมาทางนี้เก็บไปดูแลรักษา
พบเธอบังเอิญที่ผ่านมา
จะช่วยดูแลฉันไหมนะคนดี

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ทำไมนะความรัก

ทำไมนะความรัก
จึงทำให้คนรู้จักเศร้าแบบนี้
แค่เธอไม่สนใจไยดี
น้ำใส-ใสก็ปรี่ล้นออกมา
คงเพราะรักเธอมาก
คิดเพียงอยากฝากสิ่งมีค่า
คือหัวใจไม่มีราคา
แต่บรรจุรักมาเต็มข้างใน
คงแค่นี้แหละความรัก
เพียงสอนให้รู้จักสมัครใคร่
แล้วรอพบความเศร้าความเสียใจ
โดยไม่แคร์ว่าคนที่เรียนไป
จะเสียความรู้สึกแค่ไหนที่ได้เรียน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แค่คล้าย...

เพราะไม่เคยลบเธอออกจากใจ
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนเคย
อาจจะมีบางครั้งที่ละเลย
แต่ไม่เคยสักครั้งที่ลืมเลือน
แม้มีสักกี่คนผ่านเข้ามา
ก็ได้แค่สบตาแล้วเป็นเพื่อน
เพราะความรู้สึกลึกลึกยังคอยเตือน
เป็นแค่เหมือน...แค่คล้าย...ไม่ใช่เธอ

ความรักในทางพระพุทธศาสนา

ท่านได้จำแนกเรื่องความรักไว้เป็นสองประเภท คือ

1. ความรักที่เกิดจาก กามฉันทะ คือ ความเร่าร้อน ความกระหาย ที่อยากจะได้ในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา หากได้ตามใจปรารถนาแล้ว ผู้นั้นก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสุขทั้งกาย และใจ ถ้าต้องประสบกับความผิดหวัง จิตของผู้นั้นจะมีแต่ความโทมนัส เศร้าโศกเสียใจ บังเกิดเป็นความทุกข์กายติดตามมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายซูบซีดเศร้าหมอง เบื่อโลก เบื่อชีวิต เบื่องานเบื่อการ มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดสติสัมปชัญญะ หาทางเบียดเบียนคู่ต่อสู้ด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการผิดศีล หากยังไม่สมปรารถนาอีก บางคนก็อาจจะคิดสั้นก่ออกุศลกรรม สร้างทุกข์โทษให้แก่ตัวเอง คือ การอัตวินิบาตกรรม และหรือ แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการอื่นๆ เท่าที่อกุศลเจตนาจะพาไป

2. ความรักที่เกิดจาก เมตตา ซึ่งมีอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์โดยทั่วถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น วัย เวลา สถานที่ และสามารถแผ่กระจายไปได้ทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีขอบเขต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณของมนุษย์ตั้งแต่ต้น ยกเว้นผู้ที่มีความพิการทางสมองซึ่งไม่สามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้เกิดอารมณ์ในลักษณะ นี้ขึ้นได้นิยามของความรัก ที่เทียบธรรมในทางพุทธที่ใกล้เคียงที่สุดคือ พรหมวิหาร 4 (พรหม = ที่พึ่ง, วิหาร = เครื่องอยู่) = ธรรมของความเป็นที่พึ่งพาได้คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

- เมตตา คือ ความรัก,ความปรารถนาให้เขามีความสุข, แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า (ข้อ 1 ในพรหมวิหาร 4, ข้อ 2 ในอารักขกรรมฐาน 4)

- กรุณา คือ ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์,ความหวั่นใจ เมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา

- มุทิตา คือ ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี,เห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ก็แช่มชื่นเบิกบานใจด้วย เห็นเขาประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ก็พลอยยินดีบันเทิงใจ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนไม่กีดกันริษยา

- อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลางไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น (ข้อ 4 ในพรหมวิหาร4, ข้อ 7 ในโพชฌงค์ 7, ข้อ 10 ในบารมี 10, ข้อ 9 ในวิปัสสนูปกิเลส 10)

เมื่อนิยามความรักแล้ว คำบรรยายความรักในทางโลกสำหรับผู้ยังมีกิเลส (กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์) ยังไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์ตามพรหมวิหารธรรมล้วน ๆ ยังเจือปนไปด้วยอุปกิเลส (คือโทษเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำจิตใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก
ความสุขจากการกระทำกรรมดีร่วมกันมาจะส่งผลก่อน ดึงคนสองคนเข้ามาหากัน และหลังจากนั้นกรรมไม่ดีจะเริ่มแสดงตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์ระหว่างกัน ทะเลาะกัน
ความรักทุกชนิดของปุถุชน จะเจือปนด้วยกิเลสได้เสมอแม้แต่การรักลูก ตราบที่ยังมีลูกของเรา (ต้องดี ต้องเก่ง ต้องเยี่ยม ต้องสวย ต้องหล่อกว่าคนอื่น) จนความรักกลายเป็นการผลักดันลูกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยอ้างความรัก
ความ รักของปุถุชนหนุ่มสาวที่ยังมีกิเลส มีกามราคะ (ความพึงใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) เริ่มจากตาเห็นรูป แล้วจิตที่ยังมีอวิชชา มีความหลงครอบงำ เริ่มปรุงแต่งว่า เมื่อรูปข้างนอกสวย จิตใจข้างในต้องดีด้วยเป็นแน่ (คิดเอา คาดเอาเอง) จึงพยายามสร้างปัจจัยทุกทางเพื่อให้ได้ครอบครองเพื่อเสพสิ่งที่ตน (คิดเอาเอง) ว่าดีนั้น เริ่มจากการเสพรูป (ผ่านทางตา) เสพรส (ผ่านทางปากหรือลิ้น) เสพกลิ่น (ผ่านทางจมูกโดยการดมกลิ่น) เสพเสียง (ผ่านทางหู) สัมผัส (ผ่านทางกายโดยการจับมือถือแขน ลูบไล้ กอดรัด รวมถึงการร่วมประเวณี) นี่เป็นการบรรยายในมุมของการเสพ คือมองจากภายนอก
ถ้าจะบรรยายจากมุมมองของสติและสัมปชัญญะที่เห็นภาพรวมจากภายในจิตออกไปภายนอกนั้น ต้องเริ่มจาก
จิตที่มีอวิชชา - ความไม่รู้บังไม่ให้เห็นว่าจิตกำลังหลง เริ่มจากมีสิ่งกระทบ (ผัสสะ) มากระทบกับอายตนะ (เครื่องดึงดูดให้จิตส่งออกนอก มีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ไม่ว่าจะเป็นรูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นกายกระทบจมูก ได้ชิมรสต่าง ๆ (ในกรณีของอาหาร) ทางลิ้น ได้สัมผัสทางกาย (กายของเพศตรงข้าม หมอน เบาะหรือที่นอนนุ่มๆ ตลอดจนการปรุงแต่งของสังขารขันธ์หรือใจ ที่ทำการ amplify จนความยึดมั่นในคนหรือวัตถุที่จิตไปเกาะยึดอยู่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ) ส่งให้จิตปรุงแต่งหาวิธีครอบครองคนหรือจิตหรือวัตถุนั้น ๆ จนเกิดเป็นมโนกรรม วจีกรรม ตลอดจนกายกรรมต่อไป และถ้าบุคคลไม่มีศีลแล้ว ก็สามารถกระทำการที่ละเมิดบุคคลอื่นจนเกิดเป็นกรรมไม่ดีขึ้นมาได้ต่อไป
ความรักจะเป็นพิษ เมื่อบุคคลยึดกับวัตถุสิ่งของหรือบุคคลอื่นมากจนขาดสติและสัมปชัญญะ ไม่ได้สำรวจตรวจสอบตนเองจนไปละเมิดบุคคลอื่น
เริ่มจาก ปาณาติบาต (การตัดชีวิตสัตว์อื่นให้สิ้นไป) อทินนาทาน (ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้มอบให้มาเป็นของตน) กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ผิดประเวณี คือไปแย่งของรัก ละเมิดคู่รักผู้อื่น) มุสาวาทา (พูดไม่จริงที่ทำให้เกิดความเคยชินกับการผิดศีล ทำให้ลดความรู้สึกผิดเวลาผิดศีลลงไปเรื่อย ๆ) หรือ สุราเมรัย (ดื่มสุราเกินพอดีจนทำให้ขาดสติ)

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Love and Affection

ความรักคือรูปแบบหนึ่งของอารมณ์ ใครบางคนได้เคยกล่าวไว้ว่า ความรัก คือ อารมณ์ที่สร้างปัญหาให้กับมนุษย์ ความรักเป็นอารมณ์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ อันประกอบไปด้วยหลายขั้นและหลายองค์ประกอบที่ซับซ้อน ซึ่งได้แก่ Companionate และ Romantic LoveRomantic Love เป็นรูปแบบความรักที่มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมมาแต่โบราณโดยมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย Romantic Love มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น ความต้องการทางกายและสัญชาติญาณในการสืบเผ่าพันธุ์ จึงเป็นรากฐานของ Romantic Love

Love โดยทั่วไปหมายถึงความสัมพันธ์ในสังคม (social relationship) มากกว่าขบวนการหรือสภาวะทางอารมณ์ (Emotional process or state) เมื่อเรากล่าวว่าคนสองคนเป็นคู่รักกัน เราจะหมายถึงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่มั่นคง ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึก "รัก" ภายใต้ภาวะที่เหมาะสม แต่ไม่จำเป็นว่าความรู้สึกนั้นจะต้องคงที่

ในความรักที่แท้จริง อาจจะมีความรู้สึกหลาย ๆ แบบปะปนกัน ตั้งแต่ ความหวัง ความหลงใหล ความโกรธ การวางเฉย ความเบื่อ ความรู้สึกผิด ความทุกข์ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคู่รัก ในช่วงเวลาต่างๆ ความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนจาก Romantic Love ไปเป็น Companionate Love หรือจาก Companionate Love ไปเป็น Romantic Love ก็ได้Sternberg (1987) กล่าวว่า ความรัก มีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ ความผูกพัน (Intimacy) ความหลงใหล (Passion) และข้อผูกมัด (Decision Making)

องค์ประกอบดังกล่าวเปรียบเสมือนมุมทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า อันเป็นตัวกำหนดรูปแบบของความรัก 7 ชนิด ได้แก่
1. เฉย (nonlove) เป็นความรู้สึกของคนทั่วไปในสังคมที่ไม่รู้จักกันมาก่อน

2. ชอบ (Liking) หมายถึง ความรู้สึกใกล้ชิดผูกพัน ต่ออีกบุคคลหนึ่ง แต่ปราศจากความหลงใหล หรือข้อผูกมัด

3. รักแรกพบ (Infatuated Love) เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหลงใหล แต่ปราศจากความผูกพันหรือข้อผูกมัด

4. หมดรัก (Empty Love) เกิดจากการตัดสินใจผูกมัดที่ปราศจากความผูกพัน และความหลงใหล พบได้ในคู่รักที่คบกันมาสักระยะจนความรู้สึกถูกใจในรูปร่างหน้าตาเริ่มหมดไป

5. รักโรแมนติก (Romantic Love) ประกอบด้วยความหลงใหล ผูกพัน โดยปราศจากข้อผูกมัด

6. Fatuous Love เป็นความรักที่มีข้อผูกมัด และความรู้สึกหลงใหล แต่ปราศจากความผูกพัน

7. Consummate Love เป็นความรักที่มีองค์ประกอบครบทั้งสามด้าน คือทั้งความหลงใหล ข้อผูกมัด และความใกล้ชิดผูกพัน

Freud กล่าวว่า ความรัก ทำให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจ และความรุนแรง
ฟรอยด์คิดว่าประสบการณ์และความรู้สึกจากวัยเด็ก จะมีผลต่อความสัมพันธ์ และความเข้าใจในความสัมพันธ์อื่น ๆ ในชีวิต
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอิทธิพลต่อการเลือกบุคคลที่ตนจะมีความสัมพันธ์ด้วย (object choice) ดังที่ฟรอยด์ได้เคยอธิบายว่าการเลือกบุคคลที่จะมีความสัมพันธ์ด้วยอาจจะเป็นแบบ anaclitic ซึ่งเป็นการเลือกเพราะบุคคลที่ตนเลือกนั้นกระตุ้นให้ระลึกถึงบุคคลที่มีความสำคัญในอดีต หรือการเลือกแบบ narcissistic โดยการเลือกบุคคลที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนตนเอง โดยที่ทั้งสองแบบนั้นอาจเป็นแบบบวก (positive way) คือเลือกคนที่เหมือนบุคคลในอดีตหรือเหมือนตน แบบลบ (negative way) คือเลือกคนที่ตรงกันข้ามกับบุคคลในอดีตหรือตนเอง และแบบอุดมคติ (ideal way) คือบุคคลที่ตนเลือกนั้นเป็นเหมือนดังที่ตนเองอยากให้บุคคลในอดีตหรือตนเองเป็น

Physiology of love

ได้มีการศึกษาถึงโครงสร้างการทำงานของสมองและสารเคมีในร่างกายในขณะที่กำลังมีความรัก อยู่หลายชิ้น

Bartels A, Zeki S. ทำการวิจัยใน subject 17 คนซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงรัก โดยให้คนเหล่านั้นเข้าเครื่องตรวจ MRI scan พร้อมกับดูรูปถ่ายคนรักของตัวเอง ก่อนที่จะนำมาเปรียบเทียบกับผลตรวจเมื่อคนเหล่านั้นดูรูปถ่ายของเพื่อนสนิท 3 คนที่มีเพศเดียวกันกับคู่รักของตนตลอดจนมีอายุและระยะเวลาที่รู้จักกันมาพอ ๆ กับคู่รักด้วย ผลการศึกษาพบว่ามีการทำงานมากขึ้นของ foci ใน medial insula และ anterior cingulate cortex รวมทั้ง caudate nucleus และ putamen ทั้ง 2 ข้าง ในขณะที่ posterior cingulate gyrus และ amygdala ตลอดจน right-lateralized in the prefrontal, parietal และ middle temporal cortices มีการทำงานที่ลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งตำแหน่งที่พบเหล่านี้ต่างออกไปจากที่พบในการศึกษาของอารมณ์ความรู้สึกอื่น ๆ จึงอาจสรุปได้ว่าการทำงานของอารมณ์รัก เกิดขึ้นที่สมองส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ

Marazziti D, Akiskal HS, Rossi A, Cassano GB. ได้ทำการศึกษาใน subject 20 คน ซึ่งเพิ่งตกหลุมรักในช่วง 6 เดือน เปรียบเทียบกับคนไข้ Obsessive Compulsive Disorder (OCD) ที่ไม่ได้รับการรักษา 20 คน และ control อีก 20 คน โดยนำมาตรวจวัดระดับ 5-HT transporter บริเวณ Platelet membrane ด้วยวิธี 3H-Par (3H-paroxetine) ผลการศึกษาพบว่า 3H-Par binding sites ในคนที่กำลังมีความรักและคนไข้ OCD มีปริมาณต่ำกว่า control อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนที่กำลังอยู่ในห้วงของความรัก (early romantic phase of a love relationship) นั้นมีความหนาแน่นของ platelet 5-HT transporter ที่ลดลงกว่าคนปกติ เช่นเดียวกันกับคนไข้ OCD (นั่นอาจเป็นคำอธิบายที่ว่า เหตุใดคนมีความรักจึงชอบคิดซ้ำซากวกไปวนมาถึงคนรัก ไม่ต่างจากคนไข้ OCD)

Porges SW. กล่าวว่า วิวัฒนาการของ Autonomic Nervous System ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูง ทำให้เกิดกระบวนการต่างๆทางอารมณ์ เช่น การเกี้ยวพาราสี, sexual arousal และความผูกพัน เชื่อว่า ระบบประสาทอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับความรัก
ส่วนที่ 1 ได้แก่ Unmyelinated vagus nerve ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและทำให้เกิดพฤติกรรม "อยู่เฉยๆ" (immobilized system)
ส่วนที่ 2 ได้แก่ Sympathetic nervous system ซึ่งจะเป็นตัวเพิ่ม metabolic output และ inhibit visceral vagus ทำให้เกิดพฤติกรรม "หนี" หรือ "ต่อสู้" (fight or flight)
ส่วนที่ 3 ได้แก่ Myelinated vagus ซึ่งทำหน้าที่ควบคุม cardiac output โดยมีส่วนเชื่อมต่อกับ Cranial nerve ที่ทำหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของสีหน้าและการสนทนา

มีทฤษฎี Polyvagal Theory กล่าวถึงการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรัก ซึ่งมี 2 ขั้นตอน ได้แก่การเกี้ยวพาราสี และการดำรงความสัมพันธ์ โดยการเกี้ยวพาราสีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสังคมและ Myelinated vagus ส่วนการดำรงความสัมพันธ์ จะมีความเกี่ยวข้องกับ Unmyelinated vagus ซึ่งทำหน้าที่ใน immobilized system และทำให้เกิดความรู้สึก "ปลอดภัย" หรือ "เชื่อใจ" ทฤษฎีดังกล่าวเชื่อว่า Vagus nerve มีการสื่อสารกับ hypothalamus ผ่านทาง oxytocin และ vasopressin ทำให้เกิด sexual arousal และความสัมพันธ์อันยืนนาน

อารมณ์รัก

อารมณ์รัก (Passion) คือ ความปรารถนา ที่ดึงดูดหญิงชายเข้าหากัน อารมณ์รักแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกโรแมนติก ความต้องการใกล้ชิดด้านกายภาพ กอด จูบ จับมือ รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์
ในระยะเริ่มต้น อารมณ์รักมักจะรุนแรงมาก และจะค่อยลดความรุนแรงลงเรื่อย ๆ (อย่างที่พ่อบ้านบางคนบอกว่าน้ำพริกถ้วยเก่า จืดจาง ต้องออกไปหาอารมณ์รักกับสาวน้อยหน้าใหม่ ใสปิ๊ง)สำหรับผู้ชาย การแสดงออกซึ่งความรักจะเกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศเป็นอย่างมาก แต่ผู้หญิงมักถือว่า การแสดงออกซึ่งความรักและความห่วงใยนั้นมีความสำคัญกว่าการมีเพศสัมพันธ์

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การให้อภัย

ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ฝ่ายหนึ่งอาจทำให้อีกฝ่ายหนึ่งโกรธ เสียใจ และรู้สึกเจ็บปวดได้บ่อย ๆ หากไม่มีการให้อภัยซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดความขมขื่นที่ฝังลึกและกัดกร่อนความสัมพันธ์ให้พังทลายลงได้ และฝ่ายที่เจ็บปวดต้องทำความเข้าใจเหตุผลและข้อจำกัดของฝ่ายแรก พร้อมที่จะให้อภัยและให้โอกาสฝ่ายแรกในการเริ่มต้นใหม่การยกโทษและคืนดีกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น

การมองเห็นคุณค่าและส่วนที่ดีของอีกฝ่ายหนึ่ง

คู่รักจะต้องมองเห็นคุณค่า ความหมาย และสิ่งดีในกันและกัน ซึ่งการมองเห็นคุณค่าและส่วนดีของอีกฝ่ายหนึ่งอาจทำได้โดย

แสดงความขอบคุณในสิ่งดีที่อีกฝ่ายหนึ่งทำให้

การแสดงออกซึ่งความรัก เช่นการสัมผัส การโอบกอด รวมทั้งคำพูดว่า "ผมรักคุณ"
ความอดทน
ความอดทนเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงวุฒิภาวะ (Maturity) ความรักที่เติบโตถึงวุฒิภาวะจะต้องมีความอดทนและความหนักแน่น ความอดทนจะทำให้คู่รักจัดการกับความขัดแย้ง ความผิดหวัง และความขมขื่นได้อย่างเหมาะสม ความอดทนจะทำให้คู่รักโต้ตอบกันช้าลง ใช้เวลาใคร่ครวญก่อนว่าปฏิกิริยาที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร และหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความอดทนจะต้องประกอบด้วยความรักและการให้อภัย ไม่ใช่อดทนแบบเก็บกดความโกรธไว้ ความอดทนแบบแรกจะนำมาซึ่งความสงบใจ แต่แบบหลังจะนำมาซึ่งความรุ่มร้อนใจ ความโกรธและการพยายามแก้แค้น

ความสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง

Intimacy หมายถึง ความรู้สึก ใกล้ชิด เชื่อมโยงผูกพัน และห่วงใยในสวัสดิภาพของอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความสุข มีความเข้าใจกัน แบ่งปันซึ่งกันและกัน พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด ให้การประคับประคองทางอารมณ์แก่กัน เห็นแก่คุณค่าของกันและไว้วางใจซึ่งกันและกัน
Intimacy เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตสมรส เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่อดทนและฝ่าฟันอุปสรรคไปได้

Intimacy มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้

ความผูกพัน ห่วงใยเอาใจใส่อีกฝ่ายหนึ่งด้วย เอาใจใส่ในสวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ และความรู้สึกซึ่งกันและกัน ดูแลต่อกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เป็นที่พึ่งพิงของกันได้ในยามลำบาก

การใช้เวลาร่วมกัน

การเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต่างยกโทษให้กันได้และร่วมมือกันแก้ปัญหา แทนที่จะโกรธหรือทะเลาะกัน .....ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดต่อกันอย่างอิสระ

การร่วมรับรู้ในความสุข คู่รักต้องสามารถให้ความสุขกับอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร การมีความสนุกสนานร่วมกัน แบ่งปันความสุขและความรู้สึกดี ๆ ให้กัน

การร่วมรับรู้ในความทุกข์ ความรู้สึกเชิงลบหลายอย่าง เช่น ความโกรธ เศร้าเสียใจ ขมขื่น เจ็บปวด รู้สึกผิด ฯลฯ

การร่วมรับรู้ในความรู้สึกเชิงลบของอีกฝ่ายหนึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี มีความรักใคร่ผูกพันกัน และเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น

Intimacy จะเป็นไปได้ดีด้วยปัจจัยต่อไปนี้

1. ความใกล้และความห่างที่เหมาะสม ความใกล้ชิดทางกายภาพ (Physical Closeness) จะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้าง Intimacy ใกล้กันพอที่จะรู้สึกถึงความรักใคร่ผูกพัน และห่างกันพอที่จะมีความเป็นตัวของตัวเอง

2. ความสมดุลในอำนาจ อำนาจที่เท่าเทียมกันจะทำให้เกิด Intimacy อย่างแท้จริง ผู้ชายมักเคยชินกับสถานภาพที่มีอำนาจมากกว่าผู้หญิง ดังนั้นถ้ามีภรรยาที่ดุเกินไป ก็จะไม่สามารถมี Intimacy ที่แท้จริงกับภรรยาได้....อาจทำให้เกิดการคบชู้หรือมีภรรยาน้อยตามมา

3. การสื่อสารและการแก้ไขความขัดแย้ง จะทำให้ไม่มีกำแพงกั้นระหว่างคู่รัก

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความผูกพัน

ความผูกพัน (Attachment หรือ Affective Involvement) หมายถึงระดับความรู้สึกห่วงใยที่บุคคลมีต่อกัน รวมทั้งความสนใจและการเห็นคุณค่าของกันและกัน ความผูกพันที่ไม่เหมาะสมในคู่รักอาจเป็นแบบใดแบบหนึ่งดังนี้ (Epstein, Bishop และ Baldwin 1982)

1. ผูกพันจนเหมือนเป็นบุคคลเดียวกัน (Symbiotic Involvement) เป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้นจนทั้งคู่เหมือนเป็นบุคคลเดียวกันและไม่มีขอบเขตส่วนตัวเลย

2. ผูกพันมากเกินไป (Over Involvement) ความผูกพันเป็นไปอย่างปกป้อง หรือจุ้นจ้านมากเกินไป และอีกฝ่ายหนึ่งมีความเป็นส่วนตัวหรือเป็นตัวของตัวเองน้อยมาก

3. ผูกพันเพื่อตนเอง (Narcissistic Involvement) ความสนใจในอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เป็นไปอย่างจริงใจ แต่เป็นไปเพื่อตนเอง (Egocentric) และเพื่อเสริมสร้างคุณค่าให้ตนเอง

4. ผูกพันโดยปราศจากความรู้สึก (Involvement Devoid of Feeling) คู่สมรสไม่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์และความห่วงใยด้วยน้ำใสใจจริง ความสนใจที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่งเป็นไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น อยากควบคุมหรือเป็นไปตามหน้าที่ เช่น สามีที่มีภรรยาน้อย แต่ต้องมาแสดงความห่วงใยภรรยาหลวงยามเจ็บไข้ เป็นต้น

5. ปราศจากความผูกพัน (Lack of Involvement) คู่สมรสหรือคู่รักไม่มีความสนใจใยดีกันเลย เป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ชีวิตคู่มีความหมายเพียงการมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเท่านั้นความผูกพันที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวนี้ ทำให้คู่สมรสขาดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และความรู้สึกที่จะพึ่งพิงกันได้ในยามจำเป็น นอกจากนี้ยังทำให้ไม่สามารถร่วมมือกันทำภารกิจที่สำคัญให้ลุล่วงไปได้ ตัวอย่างเช่น สามีภรรยาที่ไม่มีความผูกพันใกล้ชิดกันย่อมไม่สามารถปกครองลูกได้ เป็นต้น
ความผูกพันที่เหมาะสมคือ ความผูกพันอย่างมีความเข้าใจ (Empathic Involvement) นั่นคือ มีความสนใจและผูกพันต่ออีกฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง ความผูกพันแบบนี้ทำให้คู่สมรสตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างเหมาะสม
ความผูกพันจะต่างกันในวงจรชีวิตแต่ละระยะ โดยจะสูงสุดในระยะที่เพิ่งรักกันใหม่ ๆ หรือแต่งงาน และลดลงในระยะที่ลูกเข้าวัยรุ่น หลังจากนั้นจะสูงขึ้นอีกเมื่อลูกโตและแยกจากครอบครัวไป

ความสมดุลระหว่างความผูกพันและความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญและจะแตกต่างกันไปในแต่ละคู่ สามีภรรยาอาจมีความต้องการแตกต่างกัน เช่น สามีต้องการความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ภรรยาต้องการความผูกพันมาก ดังนั้น คู่สมรสหรือคู่รักต้องตระหนักถึงความแตกต่างนี้และพยายามทำให้ความผูกพันที่มีต่อกันเป็นไปอย่างเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละฝ่าย หากความผูกพันเป็นไปอย่างเหมาะสมก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น ภรรยาเข้ามาผูกพันใกล้ชิดกับสามีมากเกินไป มาคอยดูแลเอาใจใส่มากจนสามีรู้สึกอึดอัด สามีก็อาจต้องพยายามหาทางสร้างระยะห่างด้วยวิธีต่างๆ เช่น กลับบ้านค่ำ ทำงานพิเศษ หรือไปมีผู้หญิงคนใหม่ เป็นต้น

ในชีวิตของบุคคลจะมีความผูกพันกับคนหลายคน นอกจากกับคู่ของตนแล้ว ยังมีความผูกพันกับลูก พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงอีกด้วย แต่ต้องระวังไม่ให้ความผูกพันกับบุคคลอื่นในระบบภายนอกนั้นมากเกินว่าความผูกพันที่มีต่อครอบครัวปัจจุบัน เพราะจะทำให้ครอบครัวปัจจุบันเกิดปัญหาได้

การที่บุคคลมีความผูกพันกับคู่ของตนเองมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น อาจเกิดการพึ่งพิงอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป มีความคาดหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเข้าใจตน มีคำตอบให้ตนทุกอย่าง หรือแก้ไขปัญหาให้ตนได้เสมอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ ความคาดหวังนี้จะทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวัง และอีกฝ่ายหนึ่งจะเกิดความรู้สึกว่าตนปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอการมีความผูกพันที่เหมาะสมโดยมีความเป็นตัวของตัวเองเพียงพอจะทำให้ทั้งคู่ไม่มีปฏิกิริยาต่อกันมากเกินไป ทั้งสองฝ่ายจะสื่อสารกัน เปิดเผยความรู้สึกนึกคิดต่อกันได้อย่างอิสระ และจะสามารถประคับประคองต่อกันได้ดี

องค์ประกอบของความรัก

มีผู้อธิบายองค์ประกอบของความรักไว้หลายอย่าง
Sternberg (1986) กล่าวว่า ความรักมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ความใกล้ชิดผูกพัน (Intimacy) การอุทิศตัวต่อกัน (Commitment) และอารมณ์รัก (Passion)

องค์ประกอบของความรัก ที่สำคัญ มีดังนี้


การอุทิศตนต่อกัน
ความผูกพัน
ความสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง
การมองเห็นคุณค่าและส่วนที่ดีของอีกฝ่ายหนึ่ง
ความอดทน
การให้อภัย
อารมณ์รัก

การอุทิศตนต่อกัน
องค์ประกอบที่สำคัญของความรักคือ การอุทิศตนต่อกัน (Commitment) ความรักจะคงที่และงอกงามไม่ได้หากปราศจากการอุทิศตนต่อกัน การอุทิศตนจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง แม้จะมีความทุกข์ ความขัดแย้ง หรือความผิดหวังเกิดขึ้น คู่รักที่อุทิศตนต่อกันจะยอมอดทนต่อความยากลำบากที่เกิดขึ้นและช่วยกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้ดี

การอุทิศตน ประกอบด้วยพฤติกรรมสำคัญ 2 ประการ คือ
1. ความรับผิดชอบ (Responsibility) ชีวิตคู่เป็นความรับผิดชอบของคนสองคน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง คู่รักจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลรักษาชีวิตคู่เอาไว้ นั่นหมายความว่า ทั้งคู่ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี และหากความสัมพันธ์มีปัญหา ทั้งคู่ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่โยนความผิดให้อีกคนหนึ่ง

2. การปกป้องความสัมพันธ์ให้ปลอดภัย (Protectiveness) ชีวิตคู่เป็นระบบย่อยที่อยู่ในระบบใหญ่แห่งครอบครัว ชุมชน และสังคม ดังนั้นจะมีระบบอื่น ๆ ที่มากระทบชีวิตคู่ได้เสมอ เช่น ระบบของลูก เครือญาติ ที่ทำงาน ฯลฯ คู่สมรสหรือคู่รักต้องพยายามรักษาชีวิตคู่ให้ปลอดภัยและมั่นคง โดยการสร้างขอบเขต (Boundary) ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ระบบอื่นเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ดังกล่าว

การอุทิศตน เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงต่อเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นที่รักของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละฝ่ายจะต้องเชื่อมั่นในการอุทิศตนและความซื่อสัตย์ของอีกฝ่าย ทั้งต้องมั่นคงในการอุทิศตนของตนเองด้วย ระดับของความอุทิศตนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในชีวิตสมรส ทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาว และทำให้การบำบัดคู่สมรสประสบความสำเร็จ (Beach และ Broderick 1983)

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แง่มุมต่าง ๆ ของความรัก

ความรักเป็นความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Attachment) ที่แสดงใน 3 ด้าน คือ ด้านความรู้สึก ความคิด และการกระทำ

ความรู้สึก : รู้สึกรัก ชอบ รู้สึกเป็นสุขที่ได้อยู่ใกล้ ทำให้ใจเต้น มองเห็นโลกเป็นสีชมพู...
ความคิด : การมองผู้ที่ตนรักในแง่ดี มองเห็นคุณค่าและความหมายของเขา อยากทำสิ่งที่ดีให้ และอยากให้เขาพบแต่ความสุข
การกระทำ : การปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่ การสัมผัส กอดจูบ และมีเพศสัมพันธ์

ปัญหาที่พบบ่อย คือ คนจำนวนมากไม่ได้มองความรักในภาพรวม แต่มองเพียงด้านเดียว (ผู้ชายบางคน ก็อาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ว่าพอลืมวันเกิดแฟนแค่ครั้งเดียว ก็เกิดอาการงอน น้อยใจ หรือร้องห่มร้องไห้ปานโลกจะถล่มทลายว่าเขาไม่รักแล้ว ทั้ง ๆ ที่ความรักก็ยังมีเท่าเดิม ยังพาไปกินข้าว ดูหนัง รับส่งเหมือนเดิม เพียงแต่ลืมวันเกิดเพราะทำงานหนักไปหน่อยเท่านั้นเอง)

ความรักจะต้องแสดงออกมาทางกระทำด้วย หากสามีพูดว่า ตนรักภรรยามาก แต่ไม่เคยแสดงน้ำใจหรือช่วยเหลืองานบ้านเลย (กลับมาถึงก็นอนอืดดดด ...ถุงเท้าไปทาง รองเท้าไปทาง เสื้อกาวน์อีกทาง ตะโกนให้คุณภรรยาสุดที่รักมาเสิร์ฟน้ำต่อด้วยนี่ ต่อให้คุณพี่รักหนูแค่ไหน หนูก็คงไม่เชื่อแน่ ๆ)

ความรักที่ไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลย ไม่เคยบอกรัก ไม่เคยพูดหวาน ไม่เคยเลี้ยงข้าว (มาถึงก็ให้เราจ่ายเองตลอด) ไม่เคยให้อะไรดี ๆ ในวันวาเลนไทน์ ไม่เคยมอบดอกไม้หรือของขวัญให้....ก็อาจทำให้คู่ของเราไม่มั่นคงได้....และในที่สุดก็ต้องผิดหวัง

อย่างไรก็ตาม มนุษย์บางประเภทอาจมีข้อจำกัดในการแสดงออกซึ่งความรัก เช่น ถูกเลี้ยงดูมาว่า ไม่ให้บอกรักผู้ชายก่อน...มันไม่ดี อย่าถูกเนื้อต้องตัวกันโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน....มันไม่งาม ในกรณีนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเข้าใจในข้อจำกัดนั้น

นิยามของความรัก

มีผู้ให้คำนิยามของความรักไว้หลายอย่าง แต่อาจสรุปอย่างกว้างๆ ได้ว่า ความรักเป็นความรู้สึกพิเศษที่บุคคลมีต่ออีกคนหนึ่ง

Lasswell กล่าวว่า ความรักมีหลายแบบ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ในช่วงต้นของการจีบกัน ชายหญิงจะมีความรักแบบ โรแมนติก (Romantic Love), เมื่อเวลาผ่านไป ความรักที่มี เหตุผล (Logical - Sensible Love) ก็จะเกิดขึ้น, และเมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ความรัก ฉันท์เพื่อน ( Lifelong Friendship) ก็จะเกิดขึ้นแทนที่

ในช่วงเริ่มจีบกันใหม่ ๆ ชายหญิงจะอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "Idealization" คือ มองอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอุดมคติ เห็นแต่คุณสมบัติอัน เลิศเลอ เพอร์เฟค ของคนรักตัวเองโดยไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ (ไม่มีใครหล่อ รวย เก่ง ดี เท่าคนที่เรารักอีกแล้ว) บางครั้งจะมองเฉพาะสิ่งที่เขาอยากเห็น ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ, ต่างฝ่ายพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความตื่นเต้นจะลดลงและความจริงก็จะชัดเจนขึ้น จนอาจทำให้ยอมรับข้อบกพร่องของกันได้ยาก แต่หากความรักได้เติบโตและมีวุฒิภาวะที่มากขึ้น คู่รักก็จะยอมรับข้อบกพร่องของกันได้ เพราะรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ

ในหลายคู่ ความรักแบบโรแมนติกไม่ได้พัฒนาไปเป็นความรักที่ maturity จึงเกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง เช่น เกิดความผิดหวังเสียใจที่เขาหัวล้าน พุงพลุ้ย รสนิยมไม่ดี ไม่หล่อ ไม่เท่ อย่างที่คิด จนต้องเลิกรากันไปในที่สุด

ต้นกำเนิดของความรัก

เป็นที่สงสัยกันมาช้านานว่า ความรักนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไรชาวกรีกและโรมัน ในสมัยโบราณ ยกย่องให้ Aphrodite หรือวีนัส ในฐานะของเทพีแห่งความงาม และเป็นผู้ให้กำเนิดความรัก โดยมี อีรอส หรือคิวปิด บุตรชายเป็นผู้แผลงศรรักแก่มนุษย์ สัตว์ เทพ แล้วทำให้บุคคลเหล่านั้นรักกัน

ชาวอารยัน ในลุ่มแม่น้ำสินธุ ก็มีความเชื่อคล้าย ๆ กันที่ว่า พระลักษมี เป็นเทพีแห่งความงามและความรัก โดยมี กามเทพ พระโอรสเป็นผู้มอบความรักเหล่านั้นแด่มวลมนุษย์

ความเชื่อที่คล้ายกันอย่างหนึ่งก็คือ ความรักมักมาคู่กับความงาม ดังนั้น ความรักก็น่าจะเป็นสิ่งที่สวยงามไม่มีใครทราบอยู่ดีว่าความรักนั้น แท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ มันได้สร้างปัญหาให้กับโลกใบนี้มานานกว่าหมื่นปี

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ลืม...

บอกตัวเองให้ลืมเธอไป
เพราะใจเธอไม่เคยมีชั้น
เพราะเราเองไม่เคยสำคัญ
และเธอนั้นไม่เคยใส่ใจ
อาจเป็นเพื่อนเก่า
คนที่เราเคยชิดใกล้
คนที่เธอมีใจ
หวงและห่วงใยกว่าชั้น
ไปเถอะไปเสียนะ
ลืมว่าเราเคยจะผูกพัน
ลืมว่าเราคล้ายจะรักกัน
และลืมว่าชั้นเคยรักเธอ.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความรัก...

สำหรับบางคน
ความรัก...คือการให้
ยินยอมเสียสละเพื่อสิ่งที่รัก
แต่สำหรับหลายๆคน
ความรัก...คือเกมการช่วงชิง
ต่อสู้ให้ได้มายังสิ่งที่รัก
ความรักของคนบางคน
คือประสบการณ์อันงดงามของชีวิต
แต่ความรักของคนหลายคน
คือร่องรอยความเจ็บปวดของชีวิต

ไม่ว่านิยามของความรักจะคืออะไร
ความรัก...
ก็คงไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
จงรู้จักที่จะเลือกความรักให้กับชีวิต
แล้วความรัก...
จะเป็นส่วนหนึ่งที่ดีของชีวิต

Credit: สิทธิชัย

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เธอเห็นดาวนั่นไหม

เธอเห็นดาวนั่นไหม
เธอเห็นหัวใจชั้นหรือเปล่า
เขียนคำคิดถึงไว้บางเบา
แขวนไว้กับเมฆขาวที่ยาวไกล
เธอเห็นอะไรบ้าง
บนท้องฟ้ากว้าง-กว้าง กับดาวใส
ฝันเห็นชั้นหรือเห็นใคร
เห็นความหมายของหัวใจหรือยัง
แหงนมองฟ้าหน่อยนะ
เผื่อจะเห็นอะไรบางอย่างที่นั่น
แค่รู้ว่าเรามองดาวดวงเดียวกัน
เพียงเท่านั้น
ก็พอใจ...

4 สูตรผูกมิตรให้ยั่งยืน^_^

"เพื่อน" คือคนที่มีความสำคัญมากทีเดียว เราจะดูแลและรักษามิตรภาพให้ยืนยาวได้อย่างไร เรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกัน

1.น้อยใจได้บ้าง แต่อย่าใจน้อย บางคนชอบงอนหรือทำหงุดหงิดเพื่อให้เพื่อนถามว่าเป็นอะไร ถ้าไม่ถามก็งอน ซึ่งเป็นสาเหตุให้คนอยู่ใกล้อึดอัด ไม่สบายใจเพราะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงไม่ไหว ดังนั้น ต่อไปถ้าเกิดความน้อยใจ ก็ให้บอกความรู้สึกตรงๆ ว่าเรารู้สึกอย่างไร

2.ใส่ปุ๋ยให้มิตรภาพด้วยการเปิดใจรับฟัง มิตรภาพที่ยืนยาวย่อมควบคู่ไปกับความหวังดีต่อเพื่อนด้วย คือรับฟังเมื่อเพื่อนทุกข์ ให้กำลังใจยามเพื่อนท้อ และกล้ายับยั้งเมื่อเพื่อนหลงผิด

3.จริงใจ แต่อย่าจริงจัง จริงใจและหวังดีกับเพื่อนแต่อย่าจริงจัง คือไม่คาดหวังหรือผูกมัดว่าเพื่อนจะต้องทำหรือเป็นอย่างที่ใจเราต้องการ ต้องยอมรับในตัวตนของกันและกัน

4.ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาของคนสนิทกัน ปัญหาหรือความขัดแย้งมีไว้ให้แก้ไขและเรียนรู้ไปด้วยกันเพราะเมื่อผ่านไปได้ด้วยดี ยิ่งทำให้สนิทสนมเพิ่มพูนมากขึ้น วิธีหนึ่งที่จะสยบความขัดแย้งได้ ต้องท่องเอาไว้ว่า เราทะเลาะกันได้ แต่ความเป็นเพื่อนจะต้องคงอยู่

อย่าลืมนะว่า มิตรภาพมีไว้ให้แบ่งปัน ยิ่งรู้จักให้และแจกจ่ายออกไป ก็ดูเหมือนว่าจะมีมิตรภาพมากขึ้นทุกๆ วัน

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

8 ส่วนผสมหลัก... ปรุงรส ชีวิตรัก ให้กลมกล่อม

ถ้าพูดถึงสิ่งของชิ้นหนึ่ง “ความใหม่” ย่อมสร้างความตื่นเต้น และความหวงแหนให้กับเจ้าของเป็นอย่างมาก แต่เมื่อสิ่งของชิ้นนั้นผ่านช่วงเวลานานพอสมควร เห็นจนชินตาบ่อยขึ้น ทำให้ความรู้สึกที่มี ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่ได้มา แต่กลับเห็นเป็นเรื่องปกติ และชินชา จนวันหนึ่งต้องหาสิ่งที่ใหม่ และดีกว่ามาทดแทนความเก่าของสิ่งของชิ้นนั้น

เหมือนกันกับ “ชีวิตคู่” ที่เมื่อครั้งเจอรักแรกพบ ทุกสิ่งบนโลกนี้ก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูขึ้นมาทันที เกิดอาการหัวใจเต้นถี่ขึ้นทุกครั้งที่พบเจอ หรือแม้กระทั่งได้พูดคุยกัน แต่พอตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตร่วมทางกันแล้ว ความหวานฉ่ำในตอนแรกอาจเปลี่ยนไป นั่นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกัน แต่ไม่ใช่ยอมแพ้ เพราะวันนี้ทีมงาน Life and Family มีเครื่องปรุงรสให้ชีวิตรักมีรสชาติที่กลมกล่อมมาฝากกัน เพื่อนำไปเป็นส่วนผสม ปรุงความรักให้ยืนยง และมีความสุขตลอดไป

1. ใส่ความสุขเต็มร้อยเข้าบ้าน
เมื่อเกิดความเครียดเรื่องงาน หรือเรื่องอื่นๆ ไม่ควรใส่เข้าบ้าน แต่ควรตักทิ้งออกให้หมด และนำความสุขกลับเข้ามาใส่แทน ด้วยการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น รับประทานอาหารร่วมกัน ดูโทรทัศน์ด้วยกัน (แต่ไม่ควรเป็นเรื่องการเมืองนะครับ ควรเป็นละคร หรือรายการทั่วไป) หรือเล่นวีดีโอเกมร่วมกันก็ได้ (ถ้าทั้งสองมีความชอบเหมือนกัน)

2. ใส่ความเมตตา-ปรารถนาดีต่อกัน
คำว่า “คู่ชีวิต” คงต้องมีบ้าง ที่คนทั้งสอง ย่อมมีความคิด และความเข้าใจที่แตกต่างกัน เพราะเป็นเรื่องปกติที่คนเราไม่สามารถรับรู้ความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญขอให้ใส่ความเมตตา ความปรารถนาดี และการให้อภัยแก่กัน เพราะเป็นเครื่องปรุงที่จะช่วยลดความแตกแยกที่เกิดจากความแตกต่างลงได้ นี่คือหลักธรรมข้อสำคัญที่จะช่วยอุ้มชีวิตรักให้ยั่งยืน

3. ใส่หัวใจพี่น้อง และเพื่อนสนิทให้กัน
นอกจากจะอยู่ในฐานะคู่รักกันแล้ว ชีวิตคู่ต้องสวมบทบาท และใส่หัวใจของความเป็นพี่น้อง และความเป็นเพื่อนสนิทให้แก่กันด้วย เพราะจะแสดงถึงความรักที่เอ็นดู คุยได้กันทุกเรื่องในแบบฉบับของเพื่อน และมีความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในแบบฉบับของพี่น้อง ทั้ง 2 สิ่งนี้จึงจำเป็นต้องปรุงรสให้เข้ากับชีวิตรักด้วย จะช่วยให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

4. ใส่ใจการดูแล และเอาใจใส่คู่รัก
เวลาที่เครียด หรือมีปัญหาในเรื่องต่างๆ ควรใช้คำพูดที่ฟังแล้วสบายใจ เช่น “ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เราต้องผ่านมันไปด้วยกัน ไว้ใจผมนะ” หรือ “วันนี้พี่/คุณ ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ฉันอุ่นนมร้อนๆ ไว้ให้คุณดื่มอยู่ในห้องครัวค่ะ” เป็นต้น คำพูดที่แสดงถึงความเป็นห่วง และเอาใจในลักษณะนี้ จะช่วยให้ชีวิตรักของคุณมีความสุขมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกอย่างการให้สิ่งของเนื่องในโอกาสพิเศษจะช่วยให้เขา และเธอมีความสุขไม่น้อย

5. ใส่ใจสุขภาพกาย-ใจของกันและกัน
มีคนเคยบอกว่า “สุขภาพกาย” เป็นเรื่องสำคัญ และเชื่อมโยงไปสู่ทุกส่วนของร่างกาย ถ้าสุขภาพกายไม่ดี จะส่งผลให้สุขภาพใจไม่ดีตามไปด้วย ทำให้เกิดความหงุดหงิดง่าย ไม่มีอารมณ์ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว ทางที่ดีควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละนิดจิตแจ่มใส ทำให้ใจเย็น ไม่ใจร้อนหรือวู่วามกระทำการใดๆ ที่ทำให้เกิดการแตกหัก รวมถึงการดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนทรุดโทรม เพื่อให้คู่รักมองแล้วสบายใจ และมีความสุขทุกครั้งที่สัมผัส

6. ใส่ความละเอียดอ่อนก่อนขึ้นเตียง
ทั้งสองคน ควรสร้างความประทับใจให้กับคู่รักก่อนเข้านอนทุกครั้ง เช่น ทำตัวให้มีกลิ่นหอมเวลานอน คู่รักจะได้รู้สึกสดชื่น หรือไม่ก็สื่อสารกันด้วยภาษารักก่อนนอน เช่น “ฝันดีนะครับ” “ฝันดีนะค่ะ” ในส่วนของเสื้อผ้า ก็มีส่วนสำคัญเหมือนกัน โดยเฉพาะผู้หญิง ควรเลือกชุดที่ใส่แล้วเซ็กซี่ น่าชวนมอง และดึงดูดความสนใจของคนรัก เป็นต้น

7. ใส่ความรู้สึกที่ดี และความเชื่อใจต่อกัน
วันใดที่คู่รักมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น คำพูดไม่หวานเหมือนแต่ก่อน กลับบ้านดึก หรือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรบ่อยครั้ง ในฐานะที่เป็นคู่รัก ไม่ควรตีโพยตีพายไปก่อน แต่ควรจะดูพฤติกรรมไปเรื่อยๆ เพราะบางที เขาอาจจะมีงานด่วนจริงๆ ก็ได้ แต่ถ้าเป็นบ่อยจนผิดวิสัย ขอให้ใช้คำถามที่แสดงถึงความเป็นห่วง หรือให้กำลังใจกับเขา เช่น “อาทิตย์นี้คุณกลับบ้านดึกเกือบทุกวันเลย งานเยอะเหรอค่ะ มีปัญหาอะไร บอกฉันได้ทุกเรื่องนะค่ะ” อย่าบ่น หรือใช้เสียงสูงใส่กัน แต่ขอให้เชื่อใจกัน เพราะเมื่อมีคำว่า “รักเรา” เข้าแทรกในชีวิตแล้ว ความเชื่อใจกันเท่านั้น ที่จะลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้

8. ใส่ความอบอุ่นด้วยสัมผัสรัก (Touch Love)
คำพูดบางคำ อาจไม่สามารถให้ความรู้สึกที่ดีเยี่ยม ได้ดีเท่ากับการสัมผัสร่างกาย ดังนั้นการสัมผัสกันบ่อยๆ จะช่วยให้ชีวิตรักมีไออุ่น และมีความสุขมากขึ้น เช่น การกอด การหอมแก้ม หรือการจับมือ เช่น ทุกๆ เช้าก่อนไปทำงาน และหลังจากทำงาน ถ้าลองได้กอด และหอมแก้มกันแล้ว จะช่วยให้มีกำลังใจ และสานสัมพันธ์รักได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ต้องกล้าที่จะแสดงออก ไม่ใช่ปากบอกว่ารัก แต่ไม่เคยทำให้เขาและเธอไม่เคยรู้สึกถึงคำว่า “รัก” เหมือนกับที่ปากบอกเลย

นี่ คือส่วนผสมที่จะปรุงรักหลังแต่งให้กลมกล่อม ถึงแม้ว่าช่วงเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ถ้าหากปรุงรสชาติให้ชีวิตรักกลมกล่อมอยู่เสมอ นั่นจะทำให้คุณกับเธอ หรือคุณ กับเขา มีความสุข และจดจำช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้ตลอด ความรู้สึกชินชาในของเก่า และมุ่งหน้าเดินไปลิ้มลองของใหม่ ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะของเก่า ได้กลายของเก่าแก่ที่น่าสะสม และหวงแหนสำหรับเจ้าของแล้วนั่นเอง

Credit : Life and Family

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

....ความแตกต่าง ระหว่าง ห่วง และ หวง.........

"หวง" คือ การทำให้ตัวคุณเองมีความสุข
"ห่วง" คือ การทำให้คนที่คุณรักมีความสุข
"หวง" คือ การผูกมัดคนที่คุณรักไว้ด้วยกาย
"ห่วง" คือ การผูกมัดคนที่คุณรักไว้ด้วยใจ
"หวง" คือ การเห็นแก่ตัว
"ห่วง" คือ การเสียสละ
"หวง" คือ การที่คุณให้เขาทำอะไรในกรอบของคุณ
"ห่วง" คือ การที่คุณให้เขาทำอะไรในกรอบของเขา
"หวง" คือ ประโยคคำสั่ง
"ห่วง" คือ ประโยคขอร้อง
"หวง" คือ คุณรักเขาและต้องการให้เขารักคุณ
"ห่วง" คือ คุณรักเขาแต่ไม่ต้องการให้เขารักคุณ
"หวง" คือ สิ่งที่คุณทำแล้วเกิดความทุกข์ใจ
"ห่วง" คือ สิ่งที่คุณทำแล้วเกิดความสุขใจ
"หวง" คือ การทำสิ่งที่ไร้สาระเพื่อให้เขาต้องอยู่กับคุณ
"ห่วง" คือ การทำสิ่งมีสาระที่ไม่ต้องการให้เขาอยู่กับคุณ
"หวง" คือ การออกไปเต้นแร้งเต้นกา
"ห่วง" คือ การอยู่เฉยๆ นั่งมองเพียงเงียบๆ
"หวง" คือ การบังคับขู่เข็ญโดยเขาไม่เต็มใจ
"ห่วง" คือ การปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาพอใจ
"หวง" คือ ความรักที่จอมปลอม
"ห่วง" คือ ความรักแท้จริง
และ............
"หวง" คือ การที่คุณหลอกตัวเองว่าเขารักคุณ
"ห่วง" คือ การที่คุณหลอกตัวเองว่าเขาไม่รักคุณ

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตัดใจไม่ได้

แม้พบเจอใคร--ใคร
ก็ยังคงตัดใจไม่ได้อยู่อย่างนี้
เป็นแบบเนียะทั้งปี
ก็มันยังรักเธอเต็มที่เกินทำใจ
จะให้ชั้นทำอย่างไรล่ะ
ในเมื่อมันยังตัดใจไม่ได้
เธอเองก็คงรู้อยู่แก่ใจ
ว่ายังมีใครที่คอยห่วงคอยดูแล
แม้ว่าเธอนั้นไม่ใส่ใจกัน
ใจของชั้นก็ยังอยู่กับเธอไม่ห่างหายไปไหน
รู้ไว้เถอะ... แม้จากกัน ยังห่วงใย
ใจจะคอยไปอยู่ใกล้ๆกับเธอเอง

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คิดถึงเธอจัง

มีภาพคนดีอยู่ไม่กี่ใบ
แต่ก็นั่งดูนอนดูได้อยู่ทั้งวัน
ขนาดยังตื่นก็นั่งฝัน
ว่ามีเธออยู่ใกล้กันไม่ห่างตา
คิดถึงเธอจังคนดี
อยากให้รู้ชั้นคนนี้ยังห่วงหา
ยังมีกำลังใจให้กับเธอไม่ร้างลา
และยังเป็นที่ปรึกษา...ได้เหมือนเคย